อาถรรพ์แรงครู
เรื่องอาถรรพ์แรงสาปแช่งครูนั้นเป็นสิ่งเล้นลับ น่าสะพรึงกลัว ผู้ใดต้องคำสาปแช่งสาบานแล้วไม่ใช่สิ่งจะมาถอดถอนกันได้ง่ายๆ ยิ่งถ้าถูกต้องเข้าไปแล้ว มันก็ต้องรับเวลรับกรรมกันไปจนจะสิ้นสุดเลยทีเดียว อุปมาเหมือนคนปวดอุจจาระ เมื่อปวดแล้วก็ต้องขับถ่ายออก ต่อเมื่อได้ขับถ่ายออกเสร็จสิ้นนั้นแหละ ความทรมานแห่งอาการจึงจะหายไป กรรมปาบหยาบช้าก็เช่นกันเมื่อมันแสดงผลเมื่อใด ผู้ทำกรรมก็ต้องรับผลกรรมนั้นจนกว่าจะหมดกำลังแห่งผลบาปกรรมนั้น เราท่านก็ควรตระหนักให้จงดีต่อเมื่อจะทำกรรมอันใดลงไป จงใช้สติปัญญาใคร่ครวญให้รอบคอบถึงผลแห่งกรรมที่จะตามมา ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วแน่นอน จะให้ผลช้าหรือเร็วเท่านั้น เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ออกดอกผลได้ช้าเร็วต่างกัน บางชนิดออกดอกผลได้เร็ว บางชนิดใช้เวลานับแรมปีหรือหลายปีกว่าจะเติบโตให้ผล กรรมดีหรือชั่วที่เรากระทำลงไปนั้นก็อุปมาได้อย่างนั้น คนทำชั่วบางทีที่ยังไม่ได้รับผลกรรมชั่ว แต่กลับเสวยความสุขอยู่ นั้นเป็นเพราะกรรมดีบุญเก่ายังให้ผลไม่เสร็จ ต่อเมื่อหมดบุญเก่า บาปกรรมก็จะมีช่องทางให้ผลในทันที่
เรื่องของอาถรรพ์ แรงสาปแช่งครูก็เช่นกัน แรงสาปแช่งเกิดจากคนที่เล่าเรียนตำราพระเวทย์ เป็นคนอักตัญญูต่อครูบาอาจารย์ผู้สอนสั่งสรรพวิชชาให้ ทำความเสื่อมเสีย ทำความย่ำยีตำราครู เหยียบย่ำดูถูก ลบหลู่ประมาท ไม่สำนึกในคุณผู้อุปการะตน บ่างก็ถือข้อห้ามไม่ได้นำวิชชาพระเวทย์ไปสร้างบาปกรรมแก่คนอื่นเสื่อมเสียมาถึงครู บ่างก็เหยียบย่ำไม่เชื่อฟังคำตักเตือนบอกกล่าวสั่งสอนของครู โกรธเกลียดลบหลูดูถูกเหยียบย่ำน้ำใจ ผู้ที่สั่งสอนความรู้ให้ บางคนซ้ำร้ายเณรคุณกร่นด่าลบหลูดูถูกครูตนว่าไม่ดีต่างๆนาๆ ข้อห้ามที่ได้รับสัจจะวาจาก็ถือปฏิบัติไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุให้ต้องอาถรรพ์แรงสาปแช่งครูทั้งสิ้น มีเป็นอันมากที่บางคนตั่งตนเป็นครูรู้เองสำเร็จเอง ทั้งยังถือดีว่าเก่งกว่าครูดีกว่าครู อย่างนี้ก็มีให้เห็นกันมาก โดยที่คนเหล่านี้ไม่กลัวเกรงต่ออาถรรพ์แรงวิชชา นั้นเพราะผลมันยังไม่เกิดจึงคิดว่าไม่เป็นไร บางจำพวกก็กร่นด่าสำนักอื่นว่าเลวว่าทำผิดว่าไม่ดี ว่าไม่เก่ง ว่าเป็นของปลอม โจมตีลบหลูกันสาระพัด โดยคิดว่าตนเองทำถูกแล้ว แท้ที่จริงผู้เรียนพระเวทย์ท่านห้ามประมาทครูตนและครูคนอื่น ที่ห้ามประมาทครูคนอื่นสำนักอื่น ท่านกันความบาทหมางสร้างศรัตรูอย่างหนึ่ง เพราะเราลบหลู่เขา เขาก็ต้องเกลียดเราทั้งที่เป็นคนด้วยกัน และที่สำคัญคือท่านที่เรามองไม่เห็น เราไปลบหลู่ผีครูเทวดาครูเขาก็ต้องเกลียดเราด้วย และสาปแช่งเราด้วย ถึงคราอัปจนเราก็สามารถถูกท่านเหล่านี้ซ้ำให้เดือดร้อนยิ่งขึ้น ที่คนโบราณว่าผีซ้ำด้ามพรอย
อาถรรพ์วิชชานั้น บางตำราผู้ที่เล่าเรียนและถือปฏิบัติไม่ได้ อย่างแรง ตายห่า ตายโหงก็มี เบาหน่อยก็เป็นบ้าบอเสียจริต ร้อนรนในจิตในใจ จิตใจเร่าร้อนร่างกายทุกข์ทรมาน เหตุเพราะธาตุไฟกำเริบ บ่างก็ชีวิตเดือดร้อนมีแต่ความล้มเหลว ทำมาหากินไม่ขึ้น มีเหตุต่างๆเข้ามาในชีวิตซ้ำเติมให้เราเป็นทุกข์ ที่ยกตัวอย่างมานี้เพียงเล็กน้อย เท่านั้น
วิชชาครูใหนที่มีความขลังมากก็จะยิ่งมีแรงอาถรรพ์มาก เปรียบเหมือนกระแสไฟฟ้า ให้คุณได้มากก็ให้โทษอนันต์เช่นกัน ผู้ที่เรียนพระเวทย์รุ่นใหม่ทุกวันนี้บางคนก็ต้องแรงครูไม่รู้ตัว เป็นเพราะทำไม่ถูกตามขนบธรรมเนียมโบราณ คิดว่ามีคาถามาท่องมันก็ขลังได้ จึงแสวงหามาอ่านมาท่อง ซื้อมาบ่าง ลักลอบขายตำราให้กันบ่าง แจกตำรากันสนั่นหวั่นไหวเลยทีเดียว เพราะเข้าใจว่าให้ความรู้ได้บุญ เรียกว่าวิทยาทาน ทั้งที่ให้กันก็บอกแต่ตัวคาถาให้เอาไปท่องกันตามความเข้าใจ สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาล้วนมีโอกาสต้องแรงครูได้ทั้งสิ้น
การเล่าเรียนวิชชานั้น ทุกวิชชาล้วนมีครู มีขนบธรรมเนียมในการปฏิบัติกันทั้งสิ้น มีขันครูข้อห้าม ให้ยึดถือปฏิบัติตาม ถ้าทำไม่ถูกไม่ครบก็เกิดโทษได้ ยิ่งถ้าครูมาจับแล้ววิชชามันเกิดผล แต่กลับไม่ได้ยึกถือในการปฏิบัติที่ถูกก็ทำให้เดือดร้อน บางคนเอามาสักมาเสกเองไม่รู้ขั้นตอนปฏิบัติ เข้าใจว่ามีคาถาเป่ามีฝีมือสักได้ก็ทำไปตามความเข้าใจตนเอง ตั่งเงินครู กินเงินครูเอาตามใจชอบ อย่างนี้ก็มีมาก เป็นเหตุให้เดือดร้อนได้
ฉนั้น
เรื่องแรงอาถรรพ์วิชชานั้นเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังให้จงดีสำหรับผู้ไฝ่เรียนพระเวทย์ เรียนแล้วลบหลูดูถูกครู ถือดีว่าตนเก่งกล้าสามารถ ลืมบุญลืมคุณ กลัวครูได้ดีกว่าตน กลัวครูแย่งลาภผลของตน ไม่เชื่อฟังคำสอนคำตักเตือน นำวิชชาไปทำบาปกรรม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้เดือดร้อนชิบหายภายหลังได้ทั้งสิ้น การเล่าเรียนตำราต่างๆ คำสอนในพระพุทธศาสนาจึงสอนให้เราต้องเป็นผู้กตัญญูรู้คุณและรู้จักตอบแทนบุญคุณผู้อุปการะตน ท่านทั้งหลายอย่าได้เห็นแก่ลาภชื่อเสียงจอมปลอม ลุ่มหลงว่าดีเลิศกว่าความเป็นศิษย์ที่ดี ถึงเราไม่ทดแทนคุณครูก็จงอย่าประมาทลบหลู
ครูน้อย นารายณ์พลิกแผ่นดิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น