ประสิทธิ์ ปาปะแพ
14 ตุลาคม 2014 ·
ความเป็นทาศ ที่เป็นทุกข์มากที่สุดคือ ความเป็นทาศความคิดตนเอง
ผู้ฝึกตนเองได้ด้วยดี ย่อมพ้นจากความเป็นทาศ เขาย่อมไม่เป็นทุกข์เพราะความคิดตน อย่างนี้..
ประสิทธิ์ ปาปะแพ
14 ตุลาคม 2014 ·
คนที่เพ่งมองเหตุของปัญหาภายนอก และ แก้ปัญหาภายนอก เขาจะไม่มีทางแก้ปัญหานั้นๆให้ถูกต้องได้เลย เพราะเหตุต้นที่แท้จริงมันคือกิเลสที่เป็นความคิดภายในใจตน คนที่ถูกกล่าวร้ายด้วยคำด่าทอ ผู้ที่เห็นเหตุภายนอก เขาจะคิดว่าไอ้คนที่มาด่าเราเป็นเหตุ จึงเพ่งโทษไปที่คนด่า ถ้าไม่มีคนด่าเราจะไม่โกรธจะไม่ทุกข์จึงพูดและกระทำไม่ดีตอบ จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแพ้หรือพินาศไป ส่วนคนที่เห็นเหตุภายใน เมื่อมีคนด่า เขาจะรีบเพ่งมาที่ตน แก้ความโกรธของตนให้อ่อนกำลังลงและหายไป เพราะเขารู้ด้วยสติปัญญาว่า ตัวความโกรธเป็นต้นเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้ตนเป็นทุกข์ และจะเป็นปัญหาให้เกิดปัญหาอื่นๆอีกมากมายตามมา คนที่แก้ใจตนได้เขาย่อมไม่ทุกข์ร้อนและทำให้คนอื่นเดือดร้อน หากเราฝึกพิจจารณาและทำใจได้อย่างนี้เสมอๆ ก็เรียกได้ว่าเราเป็นนายตนเองได้และใช้ตนเองเป็น ไม่เป็นทาศความคิด ความรู้สึก อยู่ร่ำไป....ความโกรธท่านเปรียบเหมือนกองไฟ ที่ร้อนแรงสามารถทำลายทุกอย่างให้มอดใหม้ได้ ส่วนความพยาบาทที่ร้อนระอุอยู่ภายในใจ ท่านเปรียบเหมือนไฟใหม้ตอไม้ผุ ข้างนอกตออาจไม่เป็นไรแต่ภายในตอที่ไฟไหม้ ก็รอเวลาที่จะแสดงตัวออกมาอยู่นั่นเอง มีคำหนึ่งที่พระอาจารย์ชูท่านอุปมาไว้ในเรื่องความโกรธ ท่านว่ามันเหมือนก้านไม้ขีดไฟ เมื่อมันจุดตัวขึ้น ก่อนที่มันจะไหม้ทำลายสิ่งอื่นให้วอดวาย มันก็ได้จุดไฟเผาตัวเองอยู่ อย่างนี้โดยแท้ ความโกรธก็เช่นกันแม้มันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่มันก็ทำให้ตนเองร้อนใจอยู่นั่นเอง....สาธุๆ
ประสิทธิ์ ปาปะแพ
14 ตุลาคม 2014 ·
สิ่งที่เรามองข้าม คือหญ้าปากคอก ..คาถาจะขลังมากขลังน้อยมันเริ่มตั่งแต่การตั่งนะโม..
เรื่องกำเนิดนโม
ในจารีตและประเพณีของพระพุทธศาสนาทั้งในอดีตที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน แม้ในอนาคตก็คงเป็นเช่นกัน ในการประกอบศาสนพิธีหรือกิจการที่เป็นมงคลพุทธศาสนิกชน จะเป็นส่วนรวมหรือส่วนย่อย เป็นปัจเจกบุคคลก็ตาม มีนิยมว่า นโมก่อน โดยมากใช้คำว่า ตั้งนโมก่อน
คำว่า ตั้ง มีความหมายสำคัญมาก คือ ทรงไว้หรือดำรงไว้ มาจากมูลรากศัพท์คือ “ฐา” ธาตุในความตั้ง ฉะนั้น การตั้งนโม จึงมีความหมายว่า ให้เกิดความมั่นคง ดำรงไว้ซึ่งความดีงาม แห่งพิธีหรือกิจการนั้น ๆ
นโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ แปลว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ พระอนุตตระสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยดีโดยชอบพระองค์นั้น ในคัมภีร์สารัตถสมุจจัย อรรถกถาภาณวาร พระอรรถกถาจารย์ ได้แสดงไว้เป็นตำนานเล่าขานสืบมาว่า มีเรื่องเล่าว่า กาลครั้งหนึ่ง เทวดาและอสูรรวมห้าตนด้วยกัน ได้พากันเข้าเฝ้าถวายนมัสการ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่ประทับ แล้วได้เปล่งวาจาตน ละ วาระถวายความเคารพดังนี้
สาตาคิรายักษ์ ว่า นโม
อสุรินทราหู ว่า ตัสสะ
ท้าวมหาราช ว่า ภควโต
ท้าวสักกะ ว่า อรหโต
ท้าวมหาพรหม ว่า สัมมาสัมพุทธัสสะ
แต่ละตนเปล่งวาจาออกมาล้วนแต่เป็นคำนอบน้อมทั้งนั้น มารวมกันตนละคำเขาแล้ว เป็น นโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ท้าวมหาราชมี ๔ ตน ประจำทิศทั้ง ๔ คือ ปุริมทิศ เป็นบัวรพาตะวันออก ท้าวธตรัฎฐะประจำ ทักขิณทิศ เป็นทิศใต้ ท้าววิรุฬหะกะอยู่ประจำ ปัจฉิมทิศ เป็นทิศตะวันตก ท้าววิรุปักขา อยู่ประจำอุตรทิศ เป็นทิศอุดร (เหนือ) ท้าวกุเวร อยู่ประจำ
เพื่อให้มีความจำง่ายขึ้นมีคาถาว่า
นะโม สาตาคิริยักโข ตัสสะ จะ อะสุรินทะโก ภะคะวะโต
มะหาราชา สักโก อะระโต ตะถา สัมมาสัมพุทธัสสะ
มะหาพรหมา ปัญจะ เอเต นะมัสสะเร
นะโม แปลว่า ความนอบน้อม หมายถึง จริยา ความประพฤติ คือ การแสดงออกทางกายทางวาจา และทางใจ โบราณท่านสอนเตือนใจไว้ว่า บวชเป็นเณรให้รู้จัก นะ บวชเป็นพระให้รู้จัก โม รวมความว่า นะโม
นะ หมายถึง น้ำ เป็นเครื่องหมายคุณของแม่ โม หมายถึง ดิน เป็นเครื่องหมายคุณของพ่อ บุคคลใดก็ตาม เมื่อมีจริยา มีนโมเป็นพื้นฐาน คือ มี ความประพฤติทางกาย มีความประพฤติทางวาจา และทางใจ นอบน้อมต่อผู้อื่น นอบน้อมต่อตนเอง หรือต่อสิ่งอื่น ๆ แล้ว บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นคนมี นโม แม้จะทำการใดๆ จะยากหรือง่าย ก็ย่อมประสบผลสำเร็จ หรือเมื่อตกทุกข์ได้ยากลำบากทรมานหนักหนาสักปานใด ก็ย่อมได้รับความเมตตา ความกรุณา มุทิตา และอุเบกขาธรรม ให้การช่วยเหลือ ให้พ้นทุกข์พ้นยากพ้นจากความลำบากทรมานนั้น ๆ
ประสิทธิ์ ปาปะแพ
15 ตุลาคม 2014 ·
ฉนั้นพระอาจารย์ชูท่านสอนผมในเรื่องการตั่งจิต ในการเริ่มทำการงานทุกอย่าง ถ้าเราตั่งจิตได้ดีตั่งแต่เริ่ม กิจทุกอย่างที่เราทำมันจะดีตั่งแต่เริ่มทำ การตั่งนะโมก็คือการตั่งธาตุนั่นเอง นะคือธาตุน้ำ โมคือธาตุดิน หรือหมายถึงความนอบน้อม เมื่อเราจะทำความนอบน้อมก็ให้ตั่งใจจริงตั่งแต่เริ่มกล่าวนะโม ในการใช้พระคาถาจะมีอานุภาพมากกว่าการที่เรา กล่าวนะโมสามจบแบบผ่านๆ ยิ่งผู้ปฏิบัตหากเอาคำกล่าวสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าเหล่านี้มาใช้ในการปฏิบัติ เทวดาผู้ที่ท่านกล่าวคำเหล่านี้ไว้จะมาอวยชัยให้เราทำการนั้นๆได้สำเร็จตามเจตนาทุกประการ หลวงพ่อธรรมบาลที่เป็นพระอาจารย์ใหญ่ของพระอาจารย์ชูท่านจะสอนในเรื่องการตั่งธาตุอธิฐานจิต ซึ่งหากผู้ใดฝึกและทำได้ก็สามารถสื่อกับเทวดาได้ให้เทวดาช้วยตามที่เราได้อธิฐานจิต อยากมีลาภการเงินดีก็อธิฐานเอาเทวดาก็จะช้วย แต่เราต้องฝึกให้ได้ตามขั้นที่หลวงพ่อท่านสอนในการกำหนดธาตุในกาย ถ้าอยากได้เงินก็เอาจิตไปไว้ฐานดินแล้วอธิฐานเอา
ประสิทธิ์ ปาปะแพ
21 ตุลาคม 2014 ·
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา กายในกายหนึ่งเดี่ยวนี้ ย่อมทำให้เหล่า สัตว์พันทุกข์ ทั้งปวง…ถึงบรรลุอริยมรรค เห็นแจ้งพระนิพาน
ผู้ที่ปฏิบัติไม่ได้โดยแท้ คือ ผู้ที่ปากไม่ตรงกับใจ ไร้สัจจะ
เปรียบดั่งเป็นหมันมาแต่กำเนิด ยังไง “บุญก็ไม่เกิด ” ทำอะรัยก็ไม่สำเร็จ เพราะ “สิ่งทั้งหลายย่อมสำเร็จได้ด้วยใจ ‘
พระธรรมบาล ( จิตตภาวันวิทยาลัย เมืองพัทยา )
ประสิทธิ์ ปาปะแพ
22 ตุลาคม 2014 ·
คำสอนของพระอาจารย์ใหญ่ หลวงพ่อธรรมบาล
ทาน ศีล ภาวนา ขยายความเป็นพิเศษ
วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖
ที่ได้กล่าวผ่านมา เรื่องการถึงพร้อมด้วยทาน ศีล ภาวนา ก็จะขอขยายความเป็นพิเศษ สำหรับผู้ที่อยู่ต่างประเทศและห่างไกลวัดห่างพระสงฆ์องค์เจ้า จะได้เข้าใจ และปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ใครที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ จะทราบดีว่าเราจะเคารพและศรัทธาพระสงฆ์มาก ๆ ประเพณีวัฒนธรรมไทย งานไหนงานนั้นส่วนใหญ่เรามักไม่ขาดและแน่นอนที่สุด ก็เจอกันที่วัดน่ะแหละ แน่ ๆ ก็เสาร์อาทิตย์เป็นหลัก ทีนี้บางคนก็อยู่ต่างรัฐ ต่างเมือง ซึ่งเป็นที่ไม่มีวัดไม่มีพระ และโดยเฉพาะแบก Job ไม่มีเวลา ก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นคนบาป ไม่เคยรับศีล ไม่ได้ทำบุญ ชีวิตนี้คงหาความสุขความสบายกับเขาไม่ได้ เลยกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดกลัวว่าจะไม่ได้บุญ เพราะไม่ได้ไปวัด ไม่ได้ไปรับศีลจากพระ อย่างนี้ซะเป็นส่วนใหญ่ จริงไหม นี่คือสาเหตุที่ต้องนำมาวิสัชนากันให้กระจ่าง เรื่อง “ศีล” ความจริงแล้ว ศีลไม่ใช่ต้องไปรับที่พระ เพราะบางที (เอาเป็นว่าตรงนี้ละไว้เป็นที่รู้ละกัน….!!!!)
ศีลตามพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนและบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานนั้น อยู่ที่การ “ปฏิบัติ”ไม่ใช่อยู่ที่การจะต้องไป “รับศีลจากพระ จึงจะเรียกว่าคนมีศีล”
ศีล จะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ ๑.ศีลสำหรับกายนอก คือ กายสังขาร ที่เป็นเรานี่แหละมีรูปร่างหน้าตา หายใจได้ นี้จะมีศีล เช่น ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ (อันนี้ของพระ) ศีลเหล่านี้มีไว้เป็นวินัยหรือข้อบังคับ จะเรียกว่ากฎเกณฑ์ของสังคม ไม่ให้มีการล่วงละเมิดสิทธิ หรือ ชีวิตของสัตว์ร่วมโลก ใช้บังคับภายนอกเหมือนกฎจราจร คนขับต้องรู้ และปฏิบัติตามไม่งั้นโดนตั๋ว หัวใจ ของศีลแห่งกายนอก คือ “สัจจะ”คือ คำเปล่งวาจาสมาทานรับศีล เช่น มะยังภันเตวิสุง ๆ…. เป็นต้น นี้ต้องออกมาจากใจ เพราะ 99.99% รับศีลจากพระยังไม่พ้นสายตา ศีลขาดกระจุย เพราะไม่มีสัจจะที่จะรักษาศีล ดังนั้นท่านจึงถือว่า สัจจะเป็นหัวใจแห่งศีลของกายนอก ทั้งยังเป็นก้าวแรกขององค์มรรค ที่จะเปิดเส้นทางไปสู่การหลุดพ้นคือพระนิพพาน เส้นทางนั้นเรียกภาษาบาลีว่า มรรคสัจจะ คือหนทางแห่งความจริงแท้ ๒.ศีลสำหรับกายในกาย (อย่างที่เราปฏิบัติสติปัฏฐาน – ปฏิสัมภิทามรรค) อยู่ในข้อแรกนั่นแหละ กายในกายเหมือนคนขับรถต้องมีจรรยาบรรณ ไม่ใช่ขับปาดหน้า เฉี่ยวชาวบ้าน แต่งท่อให้เสียงดัง (กลัวคนจะไม่ด่า) อย่างนี้ไม่ใช่กฎของจราจร แต่เป็นเรื่องของสันดานคนขับ หรือเรียกว่าจรรยาบรรณ เฉกเช่นเดียวกันศีลของกายในนั้น มี
อยู่ ๕ ข้อ เหมือนกันคือ
๑.“สติ”คือ การระลึกรู้อารมณ์ + อัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) + ปัสสาสะ (ลมหายใจออก) +นิมิต (ซึ่งเป็นวิถีแห่งสติปัฏฐาน ที่เราได้ปฏิบัติกันอยู่นี้แหละ)นี้เป็นองค์แห่งมรรค เรียกว่า สัมมาสติ
๒. “วิริยะ”คือ ความเพียรรักษาอารมณ์ + นิมิต + อัสสาสะ + ปัสสาสะ นี้เป้นองค์มรรคที่สอง เรียกว่า สัมมาวายาโม
๓. “สมาธิ”คือ การถึงพร้อมเป็นหนึ่งเดียวแห่งกาย วาจา ใจ ในนิมิต + อารมณ์ + อัสสาสะ + ปัสสาสะ นี้เป็นองค์แห่งมรรคที่สาม เรียกว่า สัมมาสมาธิ
๔. “ปัญญา”คือ ความฉลาดรู้ในการแปรเปลี่ยนนิมิตได้ตามปรารถนา โดยมนสิการ นี้เป็นองค์มรรคที่สี่ เรียกว่า สัมมาทิฐิ
๕. “วิตก”ระลึกโดยเข้าถึง สภาวะแห่งสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยมโนทวารวิถี แห่งความเกิดขึ้น (อุปาทะ) ตั้งอยู่ (ฐิติ) ดับไป (ภังคะ) ในสภาวะแห่งรูปาวจร (อันนี้ละเอียดมาก ต้องมาอบรมถึงจะเข้าใจ จึงไม่ขอเขียนเพราะจะไม่เข้าใจหากอ่าน) นี้เป็นองค์มรรคที่ห้า เรียกว่า สัมมาสังกัปโป
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นได้ว่า ศีล นั้นอยู่ที่เราประพฤติปฏิบัติ และรักษา ไม่ใช่ต้องไปขอมาจากพระสงฆ์ถึงจะเรียกว่า “ศีล”จึงต้องเข้าใจให้ถูกต้อง หนทางที่จะเข้าถึงสุดยอดแห่งอมฤตธรรม คือ พระนิพพานก็โดยการเดินไปบนเส้นทางแห่งความจริงแท้ เรียกว่า “มรรคสัจจะ”ซึ่งมี ๘ ขั้นตอน หรือ ๘ ไมล์ ตามที่อธิบายข้างต้น หากทำตามนี้เราก็ได้ไปแล้ว ๕ ไมล์ เหลืออีก ๓ ไมล์ เท่านั้น ก็จะถึงจุดหมาย นี่แหละ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเทพยดาอารักษ์ โอปปาติกะทั้งหลาย เมื่อได้รับกระแสแห่งการปฏิบัติสติปัฏฐาน – ปฏิสัมภิทามรรค จึงอยู่ไม่ได้ ต้องมาคอยดูแลปกปักรักษา ดังที่ได้กล่าวมาโดยตลอดนั้น สิ่งที่ต้องย้ำกันให้เข้าใจ และเข้าใจจริง ๆ ไม่ไขว้เขว ก็คือ เมื่อใดก็ตามที่ได้ยินคำว่า “มรรค”ขอให้รู้ไว้เลยว่า จะทำได้ทางเดียวเท่านั้นคือ ทำด้วย “ใจ”เท่านั้น คือ มรรค หรือหนทางไปพระนิพพานไปด้วยกายในกาย คือ ใจ ไม่มีทางอื่นใดนอกจากสติปัฏฐาน
แต่ก็มีนักวิชาการที่ไม่เข้าใจในพุทธศาสนา พยายามจะแปลให้เป็นไปทางโลก เช่น สัมมาอาชีวะ คือ การประกอบอาชีพชอบ ถามว่า พระประกอบอาชีพอะไร สร้างโบสถ์มีใต้ถุนให้คนรอดเพื่อเก็บตังค์ หรือว่า สร้างเหรียญจตุคามเอาเงินมาเล่นหุ้น ซึ่งมันไม่ใช่ มันไม่ใช่ มรรค เป็นเส้นทางที่ผู้จะไป ต้องเดินไปด้วย “กายในกาย”หรือ “ใจ”ถ้าเป็นทางอภิธรรมเรียกว่า “เจตสิก”เท่านั้น และต้องเข้าสู่วิถีมิติแห่งใจ เรียกว่า “มโนทวารวิถี”ผ่านเลยการรับรู้สัมผัสของกายสังขาร (กายเนื้อ กายนอก) ซึ่งภาษาปฏิบัติเรียกว่า “ปัญจทวารวิถี”โดยสิ้นเชิง
ดังนั้นผู้ที่อยู่ต่างประเทศ และใฝ่ในการปฏิบัติ ไม่ต้องน้อยใจว่าไม่มีพระสงฆ์ให้ขอศีล ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องขับรถไปวัดเป็นร้อยไมล์เพื่อไปทำบุญ ต่อไปนี้ ขอศีลกับพระพุทธรูปในห้องเรา รักษาสัจจะ นั่นคือหัวใจศีล แล้วปฏิบัติตามขั้นตอน นี่แหละเรียกว่า “ผู้มีศีล”สำหรับคำว่า “ผู้ทรงศีล”คำว่า ทรง แปลว่า รักษา แต่ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า ผู้ทรงศีล แปลว่า พระ ซึ่งจริงแล้วไม่ใช่ ว่ากันตามศัพท์นะ ใครที่รักษาศีลอย่างมั่นคง ผู้นั้นเรียกว่าผู้ทรงศีล และศีลมีอยู่ในใจของเราทุกคน เริ่มต้นที่ “สัจจะ”เพราะมีสัจจะ จึงจะอธิษฐานได้
อธิษฐาน ตามพระบาลีมีอรรถคาถาอธิบายว่า อธิษฐานคือบุญ ที่ก่อให้เกิดความสำเร็จ สมปรารถนา แก่มนุษย์และเทวดา และบุญนี้ถูกเก็บไว้ในทุกครั้งที่เราได้ทำโดยการถึงพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ โดยจะเก็บไว้ใน“บุญนิธิ”อ่านว่า บุน– ยะ – นิ – ธิ แปลว่า “ธนาคารบุญ” เราจึงเบิกเอามาใช้ได้ ซึ่งจะได้กล่าววิธีการเบิกบุญมาใช้ ในวันพรุ่งนี้
ขอความก้าวหน้าผาสุก สนุกกับการปฏิบัติ เจริญวิวัฒน์ด้วยลาภผล สิ่งใดในสากลอันเป็นกุศลและปรารถนา จงได้มาโดยพลันทุกท่าน ทุกประการเทอญ…. เจริญพร
ประสิทธิ์ ปาปะแพ
22 ตุลาคม 2014 ·
ครูผู้สอนเราได้ดีที่สุด คือ การกระทำเราเองโดยแท้
เราจะรู้ผิดรู้ถูก เพราะการกระทำตน ผู้เป็นปัญญาชน ย่อมรู้ละผิด ทำถูกให้เจริญ ไม่มีคนใหนเลยที่ทำถูกทุกอย่างเพราะความรู้ถูกเพียงอย่างเดียว ฉนั้นผู้ลงมือกระทำย่อมเป็นผู้ฉลาดในความรู้ทั้งสองสิ่งโดยแท้...
ประสิทธิ์ ปาปะแพ
22 ตุลาคม 2014 ·
ผู้เป็นบัณฑิตชน เขาจะไม่มัวทุกร้อนเพราะความผิดตน แต่จะแยบคายในความผิดนั้น เพื่อให้ถึงความเจริญในความถูกทั้งมวล...
ประสิทธิ์ ปาปะแพ
24 ตุลาคม 2014 ·
การใช้ชีวิตคู่ ก็เหมือนกับการพายเรือ
ต้องช้วยกันพายถึงจะไปรอด การเข้าอกเข้าใจกันจึงสำคัญ เพราะมันจะช้วยปรับให้คนสองคนไปด้วยกันได้ แต่การเอาแต่ใจตน เป็นสิ่งทำให้เรื่องแม้เล็กๆกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้...
ประสิทธิ์ ปาปะแพ
24 ตุลาคม 2014 ·
๓. ปัจฉิมทิส คือทิศเบื้องหลัง ภรรยา สามีพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ด้วยยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา.
(๒) ด้วยไม่ดูหมิ่น.
(๓) ด้วยไม่ประพฤติล่วงใจ.
(๔) ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้.
(๕) ด้วยให้เครื่องแต่งตัว.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๔.
ภรรยาได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕
(๑) จัดการงานดี.
(๒) สงเคราะห์คนข้างเคียงของผัวดี.
(๓) ไม่ประพฤติล่วงใจผัว.
(๔) รักษาทรัพย์ที่ผัวหามาได้ไว้.
(๕) ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๔.
หน้าที่ที่สามีภรรยาจะพึงปฎิบัติต่อกัน
ประสิทธิ์ ปาปะแพ
24 ตุลาคม 2014 ·
คนโดยมากมักมองหาแต่อาจารย์เก่ง. แต่ไม่ได้มองหาอาจารย์ที่จะสอนให้ตนเก่ง. คนที่มองหาแต่คนเก่งก็จะมองหาแต่ความเก่งของอาจารย์ คนใหนที่เขาใจว่าไม่เก่งก็จะมองข้าม. จึงเก่งอย่างอาจารย์ได้ยาก. ส่วนคนที่หาคนสอนให้ตนเก่งเขาจะเก็บรายละเอียดทุกอย่างที่ครูสอนทุกคน. คนอย่างนี้จึงเก่งกว่าครูสอน...
ประสิทธิ์ ปาปะแพ
31 ตุลาคม 2014 ·
การเป็นครูคนใครก็เป็นได้ แต่เป็นยังไงตรงนี้สำคัญยิ่ง
ความเป็นครูสอนคน มันไม่ได้สำคัญตรงทำอย่างไร ตนเองจะเก่งในวิชชาแล้วทำให้เขาศรัทธาตนมากๆ หากแต่สำคัญตรงที่ทำอย่างไรเราจะดีพอที่จะทำหน้าที่ครูได้อย่างสมบูรณ์ แนะนำศิษย์ไห้เจริญในวิชชาและนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุด ต่างหาก....
ขอน้อบน้อมพระคุณพระอาจารย์ที่อบรมศิษย์คนนี้ที่ไม่เอาถ่าน มาโดยตลอดผมก็จะเจริญรอยตามความเป็นครูตามรอยพระอาจารย์ให้ได้สุดกำลัง สาธุๆๆ
พื้นที่โฆสนา
จองง่ายจ่ายสะดวก
รวมข้อเสนอที่ดีที่สุดจากสายการบิน
คัดสรรโปรดีที่สุดจากสายการบินแบบ FULL SERVICE
มีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาพร้อมดูแลระหว่างการเดินทาง
จองตั๋วเครื่องบินออนไลน์วันนี้ 24 ชั่วโมง ที่ Thaifly.com
จองที่ Thaifly.com การันตีได้ราคาถูกกว่าสายการบินแน่นอน 100%
สอบถามเพิ่มเติมโทรหาเราสิคะ ที่แผนกตั๋วเครื่องบิน 02 713 8992 กด 1
http://www.thaifly.com/AIRFARE5136-โปรโมชั่น-ตั๋วเครื่องบิน-Srilankan-Airlines-UL?tracking=582a655c393fa&tracking=582a655c393fa
ต้องการลงโฆสนาติดต่อโดยตรงที่เบอร์ 0869732570
เดือนละ150บาท ต่อ หนึ่งหัวข้อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น