เผยแพร่องค์ความรู้เกียวแก่เลขยันต์อักขระเป็นวิทยาทาน และให้เช่าบูชาเครื่องราง

ครูน้อย นารายณ์ พลิกแผ่นดิน. ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ตำรายาอายุวัฒนะ ห้ามพระฉัน





ยาอายุวัฒนะขนานเอก

1  กล้วยน้ำว้าสุก  หนึ่งหวี
2  เนื้อมะตูมห้าผล
3  พริกไทยร่อน  สามตำลึง

ผสมยาทั้งสามให้เข้ากันตำให้ละเอียด   ทำเป็นแผ่นตากแดดให้แห่งดีแล้วใส่ภาชนะไว้  ผสมน้ำผึ้งรวงใส่ให้ท้วมยาปิดฝาให้สนิด  ทิ้งไว้สองอาทิตย์   รับประทานครั้งละหนึ่งช้อนชากาแฟ    กินได้15วันจะมีกำลังแข็งแรง  กินได้หนึ่งเดือนจะมีผิวพรรณสดใส  ท่านที่แก่ก็จะกลับหนุ่มกระชุ่มกระชวยเตะปีบกระเด็นไกล   งานนอกบ้านในบ้านขยันทำดั่งหนุ่มน้อยเลยท่านเอ้ย..ท่านจึงห้ามพระทำฉัน เพระจะกำหนัดเป็นภัยแก่สมณะเพศ

ตำรายาสมุนไพร ยากำลัง เฒ่าปล่ำช้า





ยาบำรุงกำลังดฒ่าปล่ำช้าง

1  กำลังวัวเถลิง  หนึ่งส่วน
2  พญาช้างดำ  หนึ่งส่วน
3  พญาช้างเผือก  หนึ่งส่วน
4  กำลังเจ็ดช้างสาร  สามส่วน
5  เฒ่าปล่ำช้าง  สามส่วน
6  พริกไทยร่อน   หนึ่งส่วน
ยาทั้งหมดบดให้เป็นผงผสมกัน  ใช้ปั้นผสมกับน้ำผึ้งแท้  เท่าเม็ดบัว   รับประทานก่อนอาหารเช้และอาหารเย็น    เป็นยาบำรุงกำลังวิเศษ  ปล้ำเมียไม่เบื่อเลยท่านเอ้ย..

ตำรายาสมุนไพร ยาทากระดูกเสื่อม




ยาทาแก้กระดูกข้อเสื่อม

1  น้ำมันเลียงผา
2  น้ำมันมะพร้าว
3  น้ำมันถั่ว
4  น้ำมันงูเหลือม
5  น้ำมันมะกอก
ห้าอย่างนี้เอาเสมอภาคกัน

6  ไข่ไก่ต้มให้สุก  คัดเอาแต่ไข่แดง
7  ไพรแห้ง
ยาทั้งหมดเอาส่วนน้ำหนักเท่าๆกัน

วิธีปรุง
เอาไพรแห้งทุบ  ให้ละเอียด   ใส่ในกระทะ  เทน้ำมันทุกชนิดลงไป   ตั่งไฟร้อนปานกลาง  ให้น้ำมันนั้นเดือดกวนให้เข้ากัน  จึงเอากาละบูรใส่ลงไปกะพอประมาน   เคี้ยวได้ดีแล้วจึงเอาไข่แดงตำให้ละเอียดผสมให้เข้ากัน  กวนแต่พอดีจึงยกลง

สรรพคุณ

ให้ทาหัวเขาที่ปวดเมื่อย  เขาเคล็ดยอก  ขัดมีเสียงดัง  ข้อเสื่อม  ข้อบวม   ใช้ทาประจำบริเวณที่เป็นก็จะดีขึ้น  น้ำมันจะแทรกซึมเข้าไปรักษา   หรือใช้ทาแผลสดแผลมีหนอง ทำให้แผลหายได้สนิดไวขึ้น

ตำรายาสมุนไพร ยาบำรุงร่างกาย ชายชาตรี




ยาบำรุงร่างกายชายชาตรี
ท่านให้เอา  
1  หัวแห้วหมู  หนัก4บาท
2  เถาบอระเพ็ด   หนัก 4 บาท
3  หัวกระเทียม  หนัก 4 บาท
4  บอระเพ็ดพุงช้าง  หนัก 4 บาท
5  เถาโคคลาน  หนัก 4 บาท
6  พริกไทยร่อน  หนัก 4 บาท
7  ม้ากระทืบโรง  หนัก 8 บาท
8  หัวกระชาย  หนัก16 บาท
9  กำลังวัวเถลิง  หนัก 16 บาท
10  โด่ไม่รู้ล้ม  หนัก 16 บาท
11  เถาวัลเปลี้ยง  หนัก 16 บาท

วิธีปรุงยา
ให้นำตัวยาทั้งหมดบดให้ละเอียดรวมกัน  ผสมกับน้ำผึ้งแท้  ปั้นเป็นเม็ดเท่าเม็ดพุทรา    กินก่อนนอนทุกคืน   คืนละหนึ่งเม็ด

สรรพคุณ
ใช้บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย บำรุงความกำหนัด  ทำให้ร่างกายสดชื่นกระปี้กระเป่า  ใครที่นกเขาไม่ขัน คออ่อนปวกเปียก  รับประทานติดต่อกันประจำ  กำลังมีปานช้างตกมันแล

ตำราสมุนไพร ยาแก้โรคหัวใจ





ยาแก้โรคหัวใจ
ขนานที่ ๑
ท่านให้เอา  หัวยาข้าวเย็นทั้ง ๒ (หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑  หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑) กำมะถันเหลือง ๑  กำแพงเจ็ดชั้น ๑  ทองพันชั่ง ๑  ชะเอมเทศ ๑  ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้ เอาหนักอย่างละ ๑๐ บาทเท่ากัน  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เวลาหลังอาหาร วันละ ๓ เวลา
สรรพคุณ
แก้โรคหัวใจโต  ชึ่งมีอาการหัวใจเต้นผิดปรกติ  ออ่นเพลียเหนื่อยหอบ ให้หายไป ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๒
ท่านให้เอา  ต้นไมยราบ (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก)  นำมาล้างให้สะอาด  สับเป็นชิ้น ตากแดดให้แห้ง  คั่วไฟให้สุกเหลือง ใช้ชงกับน้ำร้อนรับประทานต่างน้ำชา
สรรพคุณ
แก้โรคหัวใจสั่นหรือหัวใจเต้นแรงผิดปรกติ ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๓
ท่านให้เอา  ต้นและใบบัวบก  จำนวนมากพอสมควร  นำมาล้างน้ำให้สะอาด  ตำให้แหลก  คั้นเอาน้ำ ผสมกับน้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลทรายขาวก็ได้  พอมีรสหวานเล็กน้อย  ใช้รับประทานครั้งละ ๑ แก้ว  วันละ ๓ เวลา  ติดต่อกัน ประมาณ ๗-๑๐ วัน
สรรพคุณ
แก้โรคหัวใจ  ซึ่งมีอาการเจ็บปวดที่หน้าอกข้างซ้าย  หายใจขัด เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย มีเหงื่อออกอยู่ตลอดเวลา  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๔
ท่านให้เอา  หัวผักกาดขาวสด (หัวไชเท้า)  นำมาล้างน้ำให้สะอาด  ปอกเปลือกแล้ว ใช้จิ้มน้ำผึ้งแท้  รับประทานครั้งละ ๑ หัว  เวลาเช้า เย็น ทุกวัน ประมาณ ๑๕ วัน
สรรพคุณ
แก้โรคหัวใจ  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล  เมื่อหายโรคแล้ว ให้ใส่บาตรพระ ๕ องค์ อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้าของยาขนานนี้ด้วย
ขนานที่ ๖
ท่านให้เอา  หัวใจหมู ๑ หัวใจ นำมาล้างน้ำให้สะอาด (เฉพาะภายนอก) แขวนผึ่งลมให้ แห้ง ใช้มีดกรีดหัวใจหมูนั้น เอา  "จูซา"  (เป็นผงสีแดงหาซื้อได้ที่ร้านขายยาจีน) หนัก ๑ สลึง (ราคาประมาณ ๖๐ บาท) ใส่เข้าไปในหัวใจหมูนั้น แล้วใช้ด้ายเย็บให้สนิทตามเดิม ใส่ภาชนะตุ๋นให้สุก (โดยไม่ต้องใส่น้ำในภาชนะที่ใส่หัวใจหมูนั้น) จะมีน้ำในหัวใจหมูนั้น ไหลออกมา แล้วตัดด้ายที่เย็บหัวใจหมูนั้นออก เขี่ยเอา "ซาจู" ออกมาผสมกับน้ำหัวใจหมู นั้น ใช้รับประทานให้หมด  ส่วนเนื้อหัวใจหมูนั้น ใช้รับประทานเป็นอาหารต่อไป  ให้ปรุง ยานี้รับประทานวันละ ๑ ครั้ง ติดต่อกัน ๓ วัน  แล้วปรุงยานี้รับประทาน วันเว้นวัน ต่อไป อีกประมาณ ๓ เดือน
สรรพคุณ
แก้โรคหัวใจ ซึ่งมีอาการหัวใจเต้นผิดปรกติ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่มีกำลัง มีอาการ บวมไปทั่วร่างกาย ให้หายขาดอย่างชะงัดนักแล  เคยใช้รักษาได้ผลดีมาแล้ว  ถ้าเป็น โรคหัวใจมานาน และมีอาการหนักมาก ให้ใช้ผง "ซาจู" หนัก ๒ สลึง

ตำราสมุนไพร ยาถ่ายลุเลือดเสีย




ยาถ่ายลุเลือดเสีย

ขนานที่ ๑
ท่านให้เอา  เถาวัลย์เปรียง ๑  แก่นลั่นทม ๑  ใบมะกา ๑  ข่า ๑  หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑  หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑  ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้  เอาอย่างละเท่าๆกัน  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับ น้ำพอสมควร  ใช้น้ำยารับประทานเวลา เช้า เย็น
สรรพคุณ
เป็นยาถ่ายลุเลือดให้หายไป  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
 
1

ตำราสมุนไพรแก้ตกเลือด







ยาแก้หญิงตกเลือด

ขนานที่ ๑
ท่านให้เอา  หัวจุกมะพร้าวห้าว (มะพร้าวแห้ง) ๓ จุก  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ ๓ ส่วน  ต้มเคี้ยวให้เหลือน้ำ ๑ ส่วน  ใช้น้ำยารับประทาน
 
สรรพคุณ
             แก้หญิงตกเลือดไม่หยุดเพราะคลอดลูก  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๒
ท่านให้เอา  ใบคึ่นฉ่าย จำนวนมากน้อยตามต้องการ นำมาตำให้ละเอียด ผสมกับ เหล้า คั้นเอาเฉพาะน้ำยา  ใช้รับประทาน
สรรพคุณ
แก้หญิงตกเลือด เพราะการคลอดลูก  ได้ผลดีชะงัดนักแล
ขนานที่ ๓
ท่านให้เอา  ขมิ้นผง ๑ ช้อนคาว นำมาผสมกับน้ำต้มสุก ๑ ถ้วยชา กวนให้เข้ากัน ให้รับประทานเพียงครั้งเดียว
สรรพคุณ
             แก้หญิงตกเลือด เพราะคลอดบุตรให้หยุดทันที  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๗
ท่านให้เอา  บวบขม ๑ ลูก  นำมาเผาไฟ บดให้ละเอียด ผสมกับสุรา  ใช้รับประทาน ครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้หญิงตกเลือด เพราะคลอดบุตร  ให้หายไปได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๙
ท่านให้เอา  ใบต้นมะเกลือ ๑ กำมือ  นำมาตำให้แหลก  คั้นเอาน้ำครึ่งแก้วกาแฟ  ผสมกับ สุราครึ่งแก้วกาแฟ  กวนให้เข้ากัน ใช้รับประทานให้หมดแก้วเพียงครั้งเดียว
สรรพคุณ
แก้หญิงตกเลือดหลังจากคลอดลูก  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๑๑
ท่านให้เอา  ขมิ้นอ้อย ๑  รากส้มป่อย ๑  รากข่า ๑  ว่านน้ำ ๑  พริกไทยร่อน ๑  ตัวยาทั้ง ๕ อย่างนี้  เอาอย่างละเท่าๆกัน นำมาบดให้ละเอียด  ใช้ละลายกับน้ำมะนาวครั้งละ ๑ ช้อน กาแฟใช้รับประทาน
สรรพคุณ
แก้หญิงตกเลือดมากหลังคลอดลูก  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๑๒
ท่านให้เอา  หัวขิงสด ๑  ชะเอมไทย ๑  ชะเอมเทศ ๑  ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้  เอาอย่างละ เท่าๆกัน  นำมาบดให้ละเอียด ผสมกับสุราประมาณ ๑ ถ้วยชา  ใช้รับประทาน
สรรพคุณ
แก้อาการตกเลือดทางทวารหนัก-เบา ของหญิงมีครรภ์  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๑๓
ท่านให้เอา  ต้นแพงพวยกับกะปิอย่างดี (กะปิใส่น้ำพริก)  ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้ เอาอย่างละ พอสมควร  นำมาตำผสมกัน  คั้นเอาเฉพาะน้ำยาผสมกับสุรา  ใช้รับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้หญิงตกเลือด  ได้ผลดีชะงัดนักแล

ตำราสมุนไพรแก้เลือดกำเดา







ยาแก้โรคเลือดออกทางจมูก

ขนานที่ ๑
ท่านให้เอา  รากต้นฝรั่ง จำนวนมากพอสมควร  นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำพอสมควร  ใช้น้ำยารับประทาน
สรรพคุณ
แก้โรคเลือดออกทางจมูก (เลือดกำเดาออก)  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแ เคยใช้รักษา ได้ผลดีมาแล้ว
 

ตำรายาสมุนไพร แก้ขัดยอกข้อมือเท้า






ยาแก้ขัดยอกข้อมือข้อเท้า
ขนานที่ ๑
ท่านให้เอา  การบูรหนัก ๕ บาท  กับ  เหล้าโรง ๑ ขวด  ใส่การบูรแช่ในน้ำเหล้า  ใช้น้ำยารับประทาน ครั้งละ ๑ ถ้วยชา ทุกวัน
สรรพคุณ
แก้โรคขัดยอกและเจ็บข้อมือข้อเท้า  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
 

ตำรายาสมุนไพร แก้ปวดเมื่อย






ยาแก้ปวดเมื่อยต่างชนิดขนานที่ ๑
ท่านให้เอา  ลูกข่อย ๑ ทะนาน  หัวแห้วหมู ๑ ทะนาน  หางไหลหัวเผือก หนัก ๒๐ บาท  กรุงเขมา หนัก ๒๐ บาทตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้ นำมาตากให้แห้ง ตำเป็ผง ผสมกับน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดพุทรา  ใช้รับประทานครั้งละ ๒-๓ เม็ด เวลาก่อนนอน  เมื่อรับประทานยานี้ ได้ผลดีแล้ว ต้องกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้าของยาขนานนี้ด้วย
สรรพคุณ
แก้ปวดเมื่อยได้ผลดีชะงัดนักแล
 
ขนานที่ ๓
ท่านให้เอา  น้ำผึ้งแท้ ๕ ช้อนกาแฟ  กับน้ำมะนาว ๑ ช้อนกาแฟ  ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้  นำมา ผสมกัน  ใส่น้ำโซดาจืด (ที่แช่เย็น)  ให้เต็มแก้วกวนให้เข้ากันดีแล้ว  ใช้ดื่มขณะที่เป็นฟองนั้น  เวลาตื่นนอนเช้า ๑ แก้ว และ เวลาก่อนนอน ๑ แก้ว วันละ ๒ แก้ว เพียง ๒-๓ วันเท่านั้น
สรรพคุณ
แก้ปวดหลัง ปวดกระเบนเหน็บ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย ไม่มีกำลังอดนอนดึกๆ เป็นยาบำรุงกำลัง
ชนิดวิเศษอย่างยิ่ง  เคยใช้รักษาได้ผลดีมาแล้ว

 




ตำรายาแผนโบราณ แก้ไข้ทับฤดูและฤดูทับไข้






      ไข้ทับระดู จะเป็นในระหว่างที่มีระดูได้ครึ่งวัน หนึ่งวัน หรือสองวัน มักจะมีอาการปวดหัว ตัวร้อน ไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น อาจมีอาการปวดหลัง คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีประจําเดือนออกมาก และมีกลิ่นเหม็น

ตำรายาแผนโบราณ



   ยาแก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้
ขนานที่ ๑ 
ท่านให้เอา  หัวจุกมะพร้าว ๓ จุก  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก)
พอสมควร  ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูหรือระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๒
ท่านให้เอา  ต้นลูกใต้ใบทั้งห้า (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) นำมาล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด
ผสมกับสุรา  คั้นเอาเฉพาะน้ำยาประมาณ ๑ ถ้วยชา  ใช้รับประทาน
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๓
ท่านให้เอา  หอยโข่ง จำนวนมากน้อยตามต้องการ  นำมาเผาไฟ  ให้ไหม้เป็นขี้เถ้า  บดให้ละ
เอียด ผสมกับน้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ประมาณน้ำ ๑ ถ้วยชา ใช้น้ำยารับประทาน
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๔
ท่านให้เอา  ต้นลูกใต้ใบ ๗ ต้น (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) นำมาล้างน้ำให้สะอาด  กับหัวหอม
โทน (หัวหอมที่ต้นหนึ่งมีหัวเดียว) ๑ หัว  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ ๓ ส่วน  ต้มเคี่ยวให้เหลือ
น้ำ ๑ ส่วน  ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล  เคยใช้รักษาได้ผลดีมาแล้ว
ขนานที่ ๕
ท่านให้เอา  แก่นประดู่ดอกเหลือง ๑ กำมือ  กับขี้ใต้ (ขี้ใต้สำหรับจุดเป็นคบเพลิง หรือเป็นเชื้อ
เพลิงก่อไฟ)  ตัดเป็น ๕ ท่อน  ลงด้วยพระเจ้า ๕ พระองค์ (คือ นะ โม พุท ธา ยะ ท่อนละ ๑ พระ
องค์)  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำพอสมควร  ใช้น้ำยารับประทนครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๖
ท่านให้เอา  ฝางเสน (สับเป็นชิ้นเล็กๆ) ๑ กำมือ  ขมิ้นอ้อย ๕ แว่น (ลงด้วยพระเจ้าทั้ง ๕ พระ
องค์ คือ นะ โม พุท ธา ยะ แว่นละ ๑ พระองค์)  ผลมะกรูด ๑ ผล (ผ่าเป็น ๔ ส่วน เอา ๓ ส่วน) 
นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำพอสมควร  ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๗
ท่านให้เอา   ต้นลูกใต้ใบ ๑ กำมือ   หัวหอมแดง ๓ หัว   ว่านเปาะหอม ๓ แว่น   ตัวยาทั้ง ๓
อย่างนี้   นำมาใส่หม้อดิน   ต้มกับน้ำ ๓ แก้ว   ต้มเคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ แก้ว   ใช้น้ำยารับประ
ทานครั้งเดียวให้หมด
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๘
ท่านให้เอา  รังผึ้งร้าง (ไม่มีตัวผึ้งจับอยู่แล้ว) ๑ รัง  หญ้าโคกกระสุน ๑  เปลือกส้มโอ ๑  ตัวยา
ทั้ง ๓ อย่างนี้  เอาอย่างละเท่าๆกัน  นำตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้มาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำพอสมควร
ใช้รับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๙
ท่านให้เอา  หมากดิบ (หมากกินกับพลู) ๓ ลูก  ปลอกเอาเฉพาะผิวเปลือก ๑  เทียนดำ ๓ หยิบ
มือ ๑  ขี้แมลงสาบ ๓ หยิบมือ ๑  ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้  นำมาคั่วไฟให้สุกแล้วบดเป็นผง  ผสมกับ
สุรา ๑ ส่วน  น้ำร้อน ๑ ส่วน  ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา  เพียง ๒-๓ ครั้ง
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๑๐
ท่านให้เอา  รากมะลิลา หรือรากมะลิซ้อน ๑  รากอังกาบ ๑  รากท้าวยายม่อม ๑  รากหญ้าพัน
งูแดง หรือรากเป็ดแดง ๑  ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้  เอาอย่างละเท่าๆกัน  นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ
พอสมควร  ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูหรือระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๑๑
ยาขนานที่ ๑๑ นี้ อ่านแล้วไม่ได้ใจความ และมีความสับสน เห็นว่าไม่ควรนำมาใส่ไว
ขนานที่ ๑๒
ท่านให้เอา  คำฝอย ๑  แฝกหอม ๑  รกฟ้า ๑  ไม้เพกา ๑  รากมะเฟือง ๑  รากมะไฟ ๑  ตัวยาทั้ง
๖ อย่างนี้  เอาอย่างละเท่าๆกัน  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำพอสมควร  ใช้น้ำยารับประทานครั้ง
ละครึ่งแก้ว  เวลา เช้า-เย็น  เวลาก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูหรือระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๑๓
ท่านให้เอา  ใบมะขาม ๑  ใบส้มป่อย ๑  ใบไม้ไผ่สีสุก ๑  ใบมะกา ๑  หญ้าไทร ๑  ฝางเสน ๑  ตัว
ยาทั้ง ๖ อย่างนี้  เอาหนักอย่างละ ๑ บาทเท่ากัน  ขมิ้นอ้อย ๕ แว่น  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ
พอสมควร  ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๑๔
ท่านให้เอา   ดีปลี ๑  ไพลแห้ง ๑  หัวกระทือแห้ง ๑  หัวขิงแห้ง ๑  หัวกระเทียม ๑  ตัวยาทั้ง ๕
อย่างนี้ เอาหนักอย่างละ ๔ บาทเท่ากัน  พริกไทยร่อน หนัก ๑ บาท  ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้  นำมา
ตำให้เป็นผง  ใช้ละลายกับน้ำร้อน  ผสมกับน้ำตาลทรายขาวเล็กน้อย  และผสมกับสุรานิดหน่อย
ใช้รับประทานครั้งละครึ่งช้อนกาแฟ  รับประทานได้ทุกเวลา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  และถอนพิษผิดสำแดง  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล  เคยใช้รักษาได้ผล
ดีมาทุกรายแล  รับประทานไม่เกิน ๓ ครั้ง  โรคหายแล
ขนานที่ ๑๕
ท่านให้เอา   สะค้าน ๑  เทียนดำ ๑  กระทือ ๑  ไพล ๑  บอระเพ็ด ๑  ชะพลู ๑  รากระหุ่ง
แดง ๑  ตัวยาทั้ง ๗ อย่างนี้  เอาอย่างละเท่าๆกัน  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำพอสมควร  ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา  เวลาก่อนอาหาร เช้า-เย็น
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๑๖
ท่านให้เอา   เกษรบัวหลวง ๑  ดอกสารภี ๑  ดอกบุนนาค ๑  ดอกมะลิ ๑  เทียนทั้ง ๕ (คือ เทียนแดง ๑  เทียน ขาว ๑  เทียน ดำ ๑  เทียนข้าวเปลือก ๑  เทียนตาตั๊กแตน ๑)  โกฏฐ์สอ ๑  โกฏฐ์หัวบัว ๑  ผลกระวาน ๑  กานพลู ๑  ตัวยาทั้ง ๑๓ อย่างนี้  เอาหนักอย่างละเท่าๆกัน (เฉพาะเทียนดำเอามากหน่อย)  นำมาตำเป็นผง  ใช้รับประทานกับน้ำร้อน  ครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๑๗
ท่านให้เอา  จันทน์ทั้ง ๒ (คือ  จันทน์แดง ๑  จันทน์ขาว ๑)   เทียนทั้ง ๕ (คือ  เทียนแดง ๑ 
เทียนขาว ๑  เทียนดำ ๑  เทียนข้าวเปลือก ๑  เทียนตาตั๊กแตน ๑)    สมุลแว้ง ๑  ชะลูด ๑ 
อบเชย ๑  กฤษณา ๑  เบญจกุล (คือ  รากชะพลู ๑  เถาสะค้าน ๑  ดีปลี ๑  หัวขิง ๑  ราก
เจตมูลเพลิง ๑)ผลกระดอม ๑  ตัวยาทั้ง ๑๗ อย่างนี้ เอาหนักอย่างละ ๑ บาทเท่ากัน  นำมา
ใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำพอสมควร  ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๑๘
ท่านให้เอา  ใบมะกาสด ๑ กำมือ  ใบขนุนละมุดสด ๗ ใบ (ลงด้วยหัวใจพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
คือ  สัง  วิ  ธา  กะ  ยะ  ปะ  ใบละอักษร)  ขมิ้นอ้อย ๕ แว่น (ลงด้วยพระเจ้า ๕ พระองค์  คือ 
นะ โม  พุท  ธา  ยะ  แว่นละ ๑ พระองค์)  หัวจุกหอมแดง ๑ กระจุก  ข้าวเปลือกข้าวเหนียว ๑
หยิบมือ  ตัวยาทั้ง ๕ อย่างนี้  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ ๓ ส่วน  ต้มเคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ ส่วน 
ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทบระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๑๙
ท่านให้เอา  เสื่อกก (ที่ไม่ย้อมสี  ยิ่งเก่า  ก็ยิ่งดี)  ตัดเอาขนาดกว้างและยาว ๑ คืบ  นำมาใส่กา
ต้มน้ำ  ใส่น้ำ ๓ แก้ว ต้มเคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ แก้ว  ใช้น้ำยารับประทานให้หมดแก้ว  ก่อนรับประ
ทานยานี้ ให้เศกด้วยพระเจ้า ๕ พระองค์ (คือ  นะ  โม  พุท  ธา  ยะ)  กลั้นใจภาวนา ๓ ครั้ง  เมื่อรับประทานยานี้แล้ว  ให้นอนคลุมโปงให้เหงื่อออก
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล 
ขนานที่ ๒๐
ท่านให้เอา  จั่นมะพร้าว (ที่ยังไม่แตกบาน)  ตัดเอาขนาดประมาณ ๑ คืบ  นำมาสับเป็นท่อนๆ
กับข้าวสาร หนัก ๑ สลึง (ประมาณ ๑ หยิบมือ)  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ ๑ ขัน  ต้มเคี่ยวให้
เดือดนานพอสมควร  ใช้น้ำยารับประทานครั้งละครึ่งแก้ว  เพียง ๓ ครั้ง
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๒๑
ท่านให้เอา  ไม้ประดู่ (สับเป็นชิ้นเล็กๆ)  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ ๔ แก้ว  ต้มเคี่ยวให้เหลือ
น้ำ ๑ แก้ว  ใช้น้ำยารับประทานให้หมดแก้วเพียงครั้งเดียว  อาการเป็นไข้ทับระดู หรือระดูทับ
ไข้  จะพลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง  เคยใช้รักษาได้ผลดีมาแล้ว
สรรพคุณ
ชะงัดนักแล
ขนานที่ ๒๒
ท่านให้เอา  ต้นข่าทั้งห้า (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) ๑ ต้น  กับต้นตะไคร้ ๓ ต้น  นำมาล้างน้ำ
ให้สะอาด  ใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำครึ่งหนึ่ง-สุราครึ่งหนึ่ง (คือ น้ำธรรมดา ๑ ส่วน  สุรา ๑ ส่วน)
ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๒๓
ท่านให้เอา  เปลือกต้นไข่เน่า ๑  ต้นโคกะสุน ๑  ว่านน้ำ ๒ หัว ๑  แห้วหมู ๑ (ทุบให้แตก)  ตัว
ยาทั้ง ๔ อย่างนี้  เอาอย่างละ ๑ กำมือ  ผลมะตูมอ่อน หนัก ๒ บาท  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ
พอสมควร  ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๒๔
ท่านให้เอา  รากหญ้าคา ๑  รากหญ้านาง ๑  รากต้นเหม็น ๑  รากต้นคล้า ๑  หัวยาข้าวเย็น
เหนือ ๑  หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑  ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้ เอาหนักอย่างละ ๑ บาทเท่ากัน  นำมาใส่หม้อ
ดิน ต้มกับน้ำ ๓ ส่วน  ต้มเคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ ส่วน (เศกด้วยพระเจ้า ๕ พระองค ์ คือ  นะ  โม 
พุท  ธา  ยะ)  ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๒๕
ท่านให้เอา  หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑  หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑  เทียนขาว ๑  เทียนแดง ๑  ตัวยาทั้ง
๔ อย่างนี้  เอาหนักอย่างละเท่าๆกัน  และเอาต้นแมงลักทั้งห้า (ถอนเอาทั้งต้นตลอดถึงราก)
๑ ต้น  นำมาล้างน้ำให้สะอาด  ใช้เชือกมัดต้นแมงลักเป็น ๓ เปลาะ  นำตัวยาทั้ง ๕ อย่างนี้  ใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ ๓ ถ้วยแกง  ใช้น้ำยารับประทนครั้งละ ๑ ถ้วยแกง เวลาเช้า-กลางวัน-เย็น  เมื่อกินยาครั้งหนึ่ง  ให้แก้เชือกมัดต้นแมงลักออกเปลาะหนึ่ง  เมื่อกินครบ ๓ครั้งและแก้เชือกมัด ออกหมด ๓ เปลาะแล้ว  ให้เทยาทิ้งทันที  ผู้ป่วยเป็นไข้ทับระดูและระดูทับไข้ จะหายเป็นปรกติ  เคยใช้รักษาได้ผลดีมามากแล้ว
สรรพคุณ
ชะงัดนักแล
ขนานที่ ๒๖
ท่านให้เอา   ลูกกระดอม หนัก ๑ บาท  ลูกสมอไทย หนัก ๑ บาท  ใบต้นโคนทิสอ ๑ กำมือ  บอ
ระเพ็ด ๗ ท่อนๆละองคุลี  ขมิ้นอ้อย ๕ แว่น  โคกกระสุน ๑ กำมือ  ก้านสะเดา (รูดใบออกเสีย)
๗ ก้าน  ตัวยาทั้ง ๗ อย่างนี้  นำมาใส่กระป๋องนม ต้มกับน้ำพอสมควร ณ ที่กลางแจ้ง  ใช้น้ำยา
รับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา  วันละเพียง ๓ ครั้งเท่านั้น
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ถึงแม้จะมีอาการเพ้อคลั่งเพราะพิษไข้สูง  เมื่อรับประทานยานี้ครั้ง
แรก  อาการไข้จะสงบลงทันที  เคยใช้รักษาได้ผลดีมามากแล้ว
ขนานที่ ๒๗
ท่านให้เอา  ต้นหญ้าใต้ใบทั้งห้า (ถอนเอาทั้งต้นตลอดถึงราก) ๑ กำมือ   นำมาล้าง้ำให้สะอาด
ใช้ตอกมัดเป็น ๓ เปลาะ  หัวหอมขาว ๓ หัว  และ เปราะหอม ๓ หัว (ทุบให้แตก)  ตัวยาทั้ง ๓
อย่างนี้  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ ๓ ส่วน  ต้มเคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ ส่วน  ใช้น้ำยารับประทาน
ครั้งละ ๑ ถ้วยชา  เมื่อรับประทานครั้งหนึ่ง  ให้แก้ตอกมัดอกเปลาะหนึ่ง  เว้นระยะห่างกัน ๒๐
นาที  รับประทานครั้งหนึ่ง  รับประทานเพียง ๓ ครั้งเท่านั้น
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล  เคยใช้รักษาหายมามากแล้ว
ขนานที่ ๒๘
ท่านให้เอา  ใบมะกาสด ๑ กำมือ  กับหญ้าแพรก ๑ กำมือ  นำมาล้างน้ำให้สะอาด  ใช้ตอกมัด
เป็น ๓ เปลาะ  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำพอสมควร  ที่ปากหม้อลงด้วยพระเจ้า ๕ พระองค์
ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา  เมื่อรับประทานครั้งหนึ่ง  ให้แก้ตอกออกเปลาะหนึ่ง  เมื่อ
รับประทานครบ ๓ ครั้ง  และแก้ตอกมัดออกหมด ๓ เปลาะแล้ว  อาการไข้ทับระดูและระดูทับ
ไข้จะหายไป  เคยใช้รักษาหายมามากแล้ว
สรรพคุณ
ชะงัดนักแล
ขนานที่ ๒๙
ท่านให้เอา  กะลามะพร้าวก้นกลวง ๑ ซีก (ผ่าออกเป็น ๔ ส่วน  เอา ๓ ส่วน)  กับสารส้ม (พอสม
ควร)  นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ ๓ ส่วน  ต้มเคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ ส่วน (คือ น้ำ ๓ ถ้วยแกง เอา
๑ ถ้วยแกง)  ใช้น้ำยารับประทนครั้งละ ๑ ถ้วยแกง  เพียง ๓ ครั้งเท่านั้น
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล
ขนานที่ ๓๐ (ยาขนานใหญ่)
ท่านให้เอา  พริกไทยร่อน ๑  ดีปลี ๑  สะค้าน ๑  ลูกสมอไทย ๑  ผักคราด ๑  ชะพลู ๑  แก่นมะ
หาด ๑  ไม้สัก ๑  แก่นจิก ๑  แก่นต้นรัง ๑  แก่นไม้ประดู่ ๑  เมล็ดฝ้าย ๑  รากหญ้าคา ๑  หัว
แห้วหมู ๑  ใบมะกา ๑  ก้านสะเดา ๑  ต้นกระเพรา ๑  ตัวยาทั้ง ๑๗ อย่างนี้ เอาหนักอย่างละ
๑ บาทเท่ากัน   ตาไม้ไผ่สีสุก ๗ ตา  หัวกะลามะพร้าว ๓ หัว   ตัวยาทั้ง ๑๙ อย่างนี้  นำมาใส่
หม้อดิน ต้มกับน้ำพอสมควร  ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เวลาก่อนอาหาร เช้า-เย็น
วันละ ๒ เวลา
สรรพคุณ
แก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้  หรืออาการเลือดทำเพราะคลอดลูก  ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ผลประโยชน์ ของผู้เอาประโยชน์ ที่ต่างกัน



มีมะม่วงอยู่ต้นหนึ่ง  รสของผลนั้นเป็นเลิศ   เมื่อคนได้ลิ้มรสย่อมเกิดความพอใจ   ต้นไม้นั้นเมื่อมีผลดกสามารถให้ประโยชน์แก่หมู่ชนผู้พึงใจในรส   บางคนเมื่อมาเอาผลไปรับประทานนั้น  ก็เอาไม้สอยแต่พอกินแล้วเดินจากไป    บางคนหอบหิ้วตระกล้ามาใส่  ใช้ไม้สอยเอาจนพอใจก็เดินจากไป   บางคนนำรถเกวียนมาใส่  ใช้พร้าฟันกิ่งที่ดกเก็บเอาแต่พอใจก็จากไป   แต่บางคนใช้มือเด็ดเท่าที่เอื้อมถึง  เอาแต่พอกินก็จากไป  
มนุษย์เราเมื่อมองถึงประโยชน์ย่อมมีวิธีหาประโยชน์และเอาประโยชน์จากสิ่งที่เอื้อประโยชน์แก่ตนได้  นั้นแตกต่างกันไป   บางคนต้องการประโยชน์  ก็เพ่งถึงแต่สิ่งที่ตนจะได้รับไม่คำนึงถึงคุณโทษ ประโยชน์  มิใช่ประโยชน์ให้ถี่ถ้วน  เหมือนคนที่ตัดกิ่งเพื่อเอาผล  เมื่อเขาต้องการแค่ผลนั้นก็ตัดกิ่งเพียงเพื่อให้ได้มากสมใจอยาก  แต่ไม่ได้คำนึงถึงว่าเขาเองนั้นได้ทำลายต้นไม้ไปเสียแล้ว  ผลที่เขาได้รับนั้นก็แค่เพียงครั้งเดียว  ส่วนคนที่เด็ดหรือสอย  เขาก็เอาแต่ปริมาณที่พอกิน  ทั้งรักษาสภาพของต้นไว้คงเดิมเพื่อจะได้มาเก็บเกี่ยวในครั้งใหม่  
ก็อย่างนี้  มนุษย์ผู้มีความเขลาย่อมทำลายทั้งตนและบุคคลอื่นได้เพียงเพื่อหวังประโยชน์แก่ตนเท่านั้น   ส่วนผู้มีปัญญา  ย่อมรู้พิจจารนาอย่างถี่ถ้วนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งที่เป็นผลกระทบในทางตรงหรือทางอ้อม  ไม่ว่าดีหรือร้าย  ย่อมมองได้ถี่ถ้วน  จึงรู้จักประกอบกรรมแต่พอดีตามคลองธรรมที่ดีงาม  ก็เป็นสิ่งแน่แท้อยู่ว่าประโยชน์แห่งคนเขลาย่อมได้แต่เพียงปัจจุบัน   หากประโยชน์ภายหน้าคือบุญ  ประโยชน์อย่างสูงคือนิพพาน  ย่อมไม่มีแก่เขาเหล่านั้น   ส่วนผู้มีปัญญาย่อมสร้างและดำรงประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ตนได้ทั้งสามอย่างไปพร้อมๆกัน
ท่านทั้งหลายชีวิตก็อย่างนี้  คือ  เกิดมาแล้วอย่างหนึ่ง  ดำรงณ์อยู่อย่างหนึ่ง  และก็ต้องล้มหายตายจากโลก อย่างหนึ่ง  ตอนนี้ เราได้เกิดมาแล้วอย่างหนึ่ง  และกำลังดำรงณ์ชีวิตอยู่  ช่วงนี้แหละ  เราท่านกำลังทำอะไรอยู่    เพราะการล้มหายตายจากมันจ้องเราอยู่ทุกลมหายใจ  และไม่รู้ตอนใหนมันจะมาถึงเรา
ฉนั้น  เมื่อเรายังดำรงณ์  ก็จงมีสติปัญญา  รู้ในคุณของสิ่งที่ให้ประโยชน์เรา   รู้ในโทษเมื่อเราเณรคุณ   เอาประโยชน์ให้มันครบทั้งสามประการเมื่อยังทำได้   ละสิ่งไม่เกิดประโยชน์ที่ให้โทษ  ตามแต่กำลังสติปัญญาของตนเถิด   ก็จะได้ไม่เสียทีที่เกิดเป็นมนุษย์  ที่แปลว่าผู้มีใจสูง  
ขออวยพรปีใหม่ให้ท่านทั้งหลายด้วยการเตือนสติ  ให้ท่านได้คิดตาม  เพื่อความสุขความเจริญที่แท้จริงอันจะเกิดแก่เราด้วยการกระทำนั้นๆของตน ของตนเอง   มีความสุขความเจริญในหน้าที่ทุกท่านเด้อ   สาธุๆๆ

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วิชชาเข้าฌานแบบพิสดาร (สมาธิเบื้องต้นพื้นฐานอภิญญา ตอนที่๑)




วิชชาเข้าฌานแบบพิสดาร  (สมาธิเบื้องต้นพื้นฐานอภิญญา ตอนที่๑)

การเข้าสมาธิฌานที่ถูกต้อง   ทำกายให้ว่างเปล่า  ทำใจปล่อยวางสบายๆ  ไม่คิดถึงสิ่งที่เป็นอดีตล่วงไปแล้ว  และไม่คิดถึงผลของสมาธิที่ยังมาไม่ถึง ในอนาคต  จะทำให้จิตฟุ้งซ่านไม่สงบ  กำหนดจิตให้มีสมาธิอยู่ปัจจุบัน
ใช้สติดูจิตตัวเองตลอดเวลา   ไม่ให้ฟุ้งซ่าน
ภาวนาว่า  พุทโธ  ยุบหนอ พองหนอ  สำมาอาระหัง   จะภาวนาแบบใหนก็ได้ให้จิตสงบ

การทำสมาธิไม่ควรยึดมั่นถือมั่น  ในอารมณ์แห่งฌานทั้งปวงคือยึดปิติ  หรือสุขมากจนเกินไป  ไม่รู้จักปล่อยวาง  เป็นอารมณ์แห่งอุเบกขาญาณเพราะจิตได้ยึดติด  ปิติ  สุข  เสียแล้ว   สมาธิก็จะไม่ก้าวหน้าพัฒนาเสียได้

การทำสมาธิให้จิตนิ่งและแน่วแน่    ทำสมาธิแบบสบายๆ  ปล่อยวางจิต  ไม่ยึดติดในเรื่องอดีตอนาคต  ดำรงสติอยู่ในปัจจุบัน  รวมทั้งไม่คิดถึงว่าเราจะได้ฌาณ  ๑  ๒  ๓  ๔   จะทำให้จิตฟุ้งซ้าน  เพราะอยากได้ฌาณมากจนเกินไป  ทำใจให้สงบ  ไม่สนใจว่าตนเองจะได้ฌานอะไร  ไม่ยึดติดในฌานและอารมณ์แห่งฌาน  คือ ฌาน  ๑  ๒  ๓  ๔  ไม่สนใจว่าตนจะได้ฌานอะไร
เข้านิ่งๆ  สงบ  เย็นๆ   ในอารมณ์สมาธิ   นิ่ง  สงบ  เย็น  สว่าง   ( เป็นอุเบกขาสมาธิ)

                                      ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของฌาน
ฌานระหว่างปิติและสุข  จิตกำลังเปลียนจากปิติเป็นสุข  ฌาน๒   เป็นฌาน๓  (อันตรายที่ต้องระวัง   เพราะเป็นจุดเปลียนฌาน) เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ  ของอำนาจสมาธิฌานสมาธิ
             ผู้เขียนจึงบอกว่า   ช่วงหัวเลียวหัวต่อฌานเป็นจุดอันตราย  เพราะจิตไปยึดในปิติ  อานุภาพของปิติของสมาธิจิต    บางคนอยู่ในปิติสมาธิ  นั่งยิ้มในอารมณ์ฌานได้ทั้งวัน   บางคนปิติแล้วเกิดน้ำหูน้ำตาไหล     จึงบอกว่าปิติในณานนั้นดีอยู่  แต่ถ้าปิติมากเกินไปสติก็หลุดได้  เพราะสติไม่ยอมตามดูจิตปิติจึงออกมามากเกินไป  เหนือการควบคุม  สติจึงหลุดได้
               ด้วยเหตุนี้    การทำสมาธิ  ไม่ควรยึดติดอยู่กับอดีต  และไม่ควรนึกถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงทำให้ขาดสติ  ใจฟุ้งซ่านไม่เป็นสมาธิ      การติดปิติและสุขในสมาธินั้น     แก้ได้ด้วยการกำหนดสติแล้วปล่อยวาง  ใจก็สงบ ไม่ยึดมั่นในอารมณ์ใดๆ

                               การทำสมาธิท่านต้องนิ่ง   จิตก็สงบเป็นสมาธิ     สติก็จะอยู่กับตัวตลอดเวลา  ดังนี้

การฝึกสมาธิบางครั้ง  ถึงมักจะมีครูบาอาจารย์    คอยควบคุมดูแลเรื่องอารมณ์กรรมฐาน   แต่ถ้าไม่มีหรือเก่งกล้า   สามารถฝึกคนเดียว  ก็ต้องรู้จักดูแลตนเอง  เรียกว่ารักตัวเองต้องดูแลตัวเอง  รักจะฝึกสมาธิต้องใช้สติดูจิต

                                        วิธีการเรียกสติกลับคืนมาเวลาสติหลุด
ส่วนมากมักทำยากเพราะปล่อยให้ใจเป็นใหญ่   สติจึงมักหลุด   แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถที่จะเรียกสติกลับคืนมา
๑  พยายามฝึกเดินจงกรมบ่อยๆ  การเดินจงกรมเป็นการฝึกสติ
๒  กำหนดสมาธิมหาสติปัฏฐานตลอดเวลา   หรือถ้าทำยากเกินไป  ให้กำหนดสติดูจิตตลอดเวลาง่ายๆ
๓  การที่สติหลุด   คือธาตุไฟกำเริบ   อาบน้ำราดน้ำก็หาย  เรียกสติกลับ  ลดอุณภูมิธาตุไฟลง


                                         
เรียบเรียงคำสอนของพระพุทธเจ้าโดย
                                                                  ธรรมะที่ส่องสว่างดั่งแสงตะวัน    (นามปากกา )
                                    

                                                                     ครูน้อย  นารายณ์  พลิกแผ่นดิน   (  เป็นผู้นำมาเผยแพร่ต่อแก่ผู้ใคร่เรียนได้อ่าน  หากความผิดอันเกิด-ขึ้น ด้วย  กาย  วาจา  ใจ   ขออดโทษแก่ครูผู้รจนาตำรานี้ขึ้นมาด้วยเทอญ...สาธุๆๆ)

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ตำราแปลจากใบลานสืบกันมา ทางอีสาน บ๋านางธรณี(บนแม่ธรณี) ..



ตำราแปลจากใบลานสืบกันมา ทางอีสาน บ๋านางธรณี(บนแม่ธรณี)..นางธรณีเป็นเทพธิดาองค์หนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าและรักษาแผ่นดิน สมัยที่พระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้ นางธรณีก็ได้ขึ้นมาเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้าด้วยการบีบมวยผม น้ำที่ไหลออกมาจากมวยผมของนางแม่ธรณีก็ไหลเอ่อท่วมทับเหล่าบริวารของพยามารและพยามารให้พ่ายแพ้หนีไป คนจึงนิยมนับถือนางแม่ธรณีว่ามีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์และเป็นผู้มีอุปการะแก่มนุษย์ คนในสมัยโบราณเมื่อจะไปค้าขายต่างบ้านต่างเมืองก็ดี วัวควายเสียหายก็ดี จะไปธุระต่างถิ่นต่างแดนก็ดี หรือแม้ผู้มีสมบัติแก้วแหวนเงินทองก็ดี คนโบราณมักจะบนบาน(บ๋า) แม่นางธรณีให้ช้วยเหลือ ช้วยปกปักรักษา ช้วยให้ประสบความสำเร็จ ช้วยให้อยู่เย็นเป็นสุข ผู้ใดต้องการสิ่งใดก็จะบนบานไว้กับแม่ธรณี เพื่อให้สำเร็จความปรารถนาของตน..
...พิธีบ๋าแม่นางธรณี(บนแม่นางธรณี)
ท่านบอกไว้ว่า ไม่ต้องจัดสิ่งของอะไร เพียงแต่นั่งลง ณ ที่ๆเราอยู่ แล้วตั่งจิตอธิฐานต่อแม่นางธรณีว่า
"ขอให้....สำเร็จตามปรารถนา แล้วจะนำของหวาน ของคาวมาแก้บน" แล้วกลั่นใจหยิบแม่นางธรณีวางไว้บนหัวเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็ถือว่าสำเร็จในการบนบานท่าน
ต่อเมื่อสมปรารถนาแล้วก็อย่าลืมทำการแก้บนท่านเป็นอันขาด ก็ให้แต่งสำรับ อาหารหวาน อาหารคาว ผลไม้ ตามแต่สมควรที่เราบอกไว้ จุดธูป9ดอก เทียน สองเล่ม หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ตั่งนะโมสามจบทำจิตเป็นสมาธิ แล้วอธิฐานถึงแม่นางธรณีว่าเรามาแก้บนแล้ว เท่านี้ก็เสร็จ การแก้บนจะทำตรงใหนก็ได้ ขอให้ดูเหมาะสม
..ในการขอแม่นางธรณีปกปักรักษานี้ผมจะทำประจำเวลาเดินทางไกลไปต่างที่ ให้เราอธิฐาน ให้เรานั้นเดินทางไปรอดกลับมาปลอดภัย กลับสู่เย่าเรือนโดยสวัสดี แล้วกลั่นใจเอาฝุ่นหน้าบ้านป้ายห้ว ทำอย่างนี้ไม่ต้องบนอะไร
 ก็นำภูมิปัญญาคนโบราณและแนวปฏิบัติอันเป็นความเชื่อศรัทธาในคุณความดีของนางธรณี ว่าท่านนั้นมีคุณแก่เรา เมื่อเกิดมาแล้วไม่มีสิ่งใหนที่เราไม่ได้พึ่งแม่ธรณีหรือธาตุดิน ทุกอย่างล้วนอาศัยท่านทั้งสิ้น การทำความนอบน้อมเคารพในคุณความดีและแสดงความกตัญญูกตเวทีแก่แม่ธาตุ ย่อมส่งผลให้เรามีแต่ความเจริญ สาธุๆๆ

เคล็ดทำน้ำมนต์ " ไม้ไขว้ตีนกา"



เคล็ดทำน้ำมนต์ " ไม้ไขว้ตีนกา"
ไม้ไขว้ตีนกา ถือเป็นไม้มงคลอย่างหนึ่งที่คนโบราณทำประกอบในการทำน้ำพระพุทธมนต์ โดยใช้ไม้ไผ่หรือหญ้าคามาผูกเป็นรูปไขว้กากะบาท ใช้วางตรงปากขัน เมื่อจุดเทียนน้ำมนต์ก็จะเอาเทียนวาง(เป็นสัญลักษณ์เท้าของพยากาเผือก ผู้ให้กำเนิดครั้งแรกพระเจ้าห้าพระองค์ พยากาเผือกนั้นก็คือท้าวผกาพรหมนั่นเอง)
ที่ไปที่มาและความหมายโดยนัยของไม้ไขว้ตีนกานั้นมีอยู่ว่า ในภัทรกัปป์คือ พระกุกุสันโธ พระโกนาคมะโณ พระกัสสะโป พระโคตะโม พระศรีอาริยะเมตตะโย มีตำนานกล่าวไว้ว่า ท่านได้ถือกำเนิดในไข่กาเผือกห้าฟอง ต่อมาได้เกิดอุบัติเหตุ ไข่ใบที่หนึ่งร่วงหล่นไก่เอาไปฝักเลี้ยงดู ใบที่สองพระยานาคเอาไปฝักเลี้ยงดู ใบที่สามเต่านำไปฝักเลี้ยงดู ใบที่สี่โคเอาไปฝักเลี้ยงดู ใบที่ห้าราชสีเอาไปฝักเลี้ยงดู แต่อัศจรรย์ ไข่ทั้งห้าฟองฝักออกมากลายเป็นมนุษย์ เมื่อเติบโตแม่ผู้เลี้ยงดูจึงบอกว่าตนไม่ใช่แม่ที่แท้จริง ต่อมาทั้งหมดได้ออกบวชเป็นพระฤาษีและออกตามหาพ่อแม่ที่แท้จริง จึงได้มาพบกันและรู้ว่าเป็นพี่น้องกันโดยทราพกำเนิดว่าตนต่างก็ได้กำเนิดจากไข่เช่นกัน จึงร่วมกันอธิฐานให้พ่อแม่ปรากฎทันใดนั้นพยากาเผือกก็มาปรากฎและเล่าความจริงให้ฟัง จึงได้บอกลูกทั้งห้าว่า ถ้าคิดถึงพ่อแม่ก็ให้ประทับรอยเท้าพ่อกับแม่ไว้ทุกครั้งที่ทำพิธีต่างๆ ทั้งห้าก็ถือปฏิบัติมา จึงได้มีไม้ตีนกามาตั่งแต่บัดนั้น และทั้งห้าพระองค์ก็ได้อธิฐานตั่งจิตปรารถนาพุทธภูมิตั่งแต่บัดนั้นเป็นต้นกำเนิดแห่งภัทรกัปป์แห่งพระพุทธเจ้าห้าพระองค์
 ในพิธีมงคลคนสมัยก่อนจึงถือเอาคตินี้ทำเป็นไม้ตีนกาเพื่อถือเป็นไม้มงคลในการทำพิธีกรรมต่างๆที่ใช้ทำน้ำพระพุทธมนต์ให้ศักดิ์สิทธิ์ โดยถือเอาความที่พระพุทธเจ้าทั้งห้ามีกตัญญูในบิดามารดาเป็นสัจจะอธิฐานเพื่อให้เกิดความเป็นมงคล แต่ทุกวันนี้ก็ไม่เห็นกันแล้วไม้อย่างนี้ หรือมีก็กลายเป็นเคล็ดที่หวงแหนของผู้รู้ ฉนั้นวันนี้วันดีจึงถือโอกาสให้เป็นวิทยาทานฝากไว้แก่ท่านทั้งหลายจะได้นำไปทำไปใช้เพื่อส่งเสริมให้เกิดคุณ ต่อไปภายภาคหน้า และลูกหลานจะได้ทำพิธีกรรมกันได้ถูกต้องและไม่ลบเลือนหายไป
บุญนี้จงสำเร็จแก่ครูแก่เก่าก่อนปัจจุบันเทอญขอให้ท่านถึงสุข สาธุๆๆๆ

ความหมายของคำว่าเคราะห์คือ



เคราะห์
ความหมายของคำว่าเคราะห์คือ สิ่งที่เรายึดติดในจิตใจ โดยการรับความเชื่อมาจากบรรพบุรุษ เป็นความเชื่อตามประเพณีวัฒนธรรมประจำท้องถิ่นนั้นๆ คำว่าเคราะห์ เป็นคำกลางๆ คือแปลได้ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี จะเป็นเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายนั้น ก็ขึ้นอยู่ที่ลางบอกเหตุตามคติความเชื่อว่าเห็นอะไร เกิดในเวลาใด
 ในส่วนที่เป็นเคราะห์ดีนั้นจะมีชื่อเรียกว่า ศุภเคราะห์หรือสมเคราะห์
 ส่วนไม่ดีเรียกบาปเคราะห์
เคราะห์ที่จะสามารถเกิดกับผู้เห็นลางบอกเหตุนั้น ก็เป็นได้ทั้งหนักและเบา หนักมากอาจเจ็บไข้ได้ป่วงจนถึงตายก็มี
เข็ญ
เข็ญหมายถึงความทุกข์ยากลำบาก ความไม่สบายทั้งกายและใจ แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิจ เป็นลักษณะทำให้ทรมาน เกิดความลำบากตรากตรำ เกิดความไม่สมหวัง มีคำปราชญ์โบราณท่านว่าไว้ว่า " เคราะห์เมื่อเว็น(กลางวัน) เข็ญเมื่อแลง (ตอนค่ำ)
ลาง
ลางคือสิ่งที่จะแสดงบอกเหตุที่จะเกิดขึ้น ให้เจ้าตัวรู้ ว่าจะมีเคราะห์มีเข็ญเกิดแก่ตัว ลางอาจเตือนให้รู้ได้ทั้งเวลาตื่นและเวลาหลับ คือการมองเห็นด้วยตาและเป็นนิมิตฝันต่างๆ ลางในภาษาพระท่านเรียกนิมิตหมาย
 ลาง ที่บอกเตือนที่เกิดกับตัว เช่น เงาหัวไม่มี ตาเขม่น เนื้อเขม่นเต้นเป็นจุดๆ ให้ร้อนรน หรือฝันเห็นเครื่องบินลงบ้าน ฝันว่าฟันหลุดร่วงเป็นต้น
ลาง ที่เกิดจากสิ่งภายนอก สุนักจิ่งจอกเห่าหอน งูเห่าเข้าบ้าน นกเค้าบินเข้าบ้าน แร้งกาจับบนฟูกหมอน หมาออกลูกในเรือน เป็นต้น
เมื่อผู้พบลางบอกเหตุก็ให้มีสติ ให้รีบแก้เสียในคืนนั้นอย่าให้ข้ามวันคืน ไม่อย่างนั้นจะเกิดเป็น เคราะห์เข็ญเวลภัยได้ บทที่สามารถแก้เคราะห์และนิมิตร้ายได้ทันทีก็คือบท ยันทุนนิมิตตัง เมื่อเหตุลางบอกเหตุก็ให้ภาวนาบทสวดนึกถึงพระรัตนตรัยเสียก็แก้ได้ แต่ถ้าปล่อยให้ข้ามวันคืนแล้วก็ต้อง แต่งเสียเคราะห์เสียเข็ญ ถ้าให้ดีก็ต้องสวดเสดาะเคราะห์ต่อชะตา เสริมศิริมงคลกัน ตามพิธีกรรมความเชื่อ
ที่เอาภูมิปัญญาประเพณีความเชื่อมาลงบอกนี้เพื่อให้ท่านได้รู้ถึงที่ไปที่มาของคำว่าเคราะห์เข็ญ ที่ปราชญ์ครูอาจารย์ท่านสืบกันมาแต่บรรพบุรุษ เป็นประเภณีวัฒนธรนมท้องถิ่นอีสาน ที่มีการจารจดในตำราใบลาน และมีปราชญ์ผู้มีปัญญาแปลคัดลอกออกมาให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและปฏิบัติตาม เพราะทั้งหมดก็จะเกี่ยวข้องกับศาสนาซึ่งเป็นอุบายวิธีให้คนทำดี ได้คลุกคลีกับพระสงฆ์ ได้รู้จักทำบุญทานการแต่ง แต่ทุกวันนี้ผู้รู้ก็หาน้อยลง การทำพิธีก็ลดน้อนลงเพราะขาดผู้เข้าใจหลักและไม่มีคนเรียนรู้ไว้ ฉนั้นจึงถือโอกาสนี้นำความรู้มาขยายให้เราท่านได้รู้พอเป็นเครื่องเตือนจิตใจ
(ยามกลางวันแบ่งเป็น8ยาม ยามละ 1ชั่วโมง กับ 30 นาที เป็นเคราะห์มีดังนี้)
ยามหรือเวลาที่ปราชญ์โบราณท่านกล่าวไว้ว่าจะเป็นลางร้ายหรือดีมีดังนี้ ถ้าเกิดกับผู้ใดตอนใหนก็จะได้รู้และรู้จักระมัดระวังตั่งสติกัน
ยาม1 ดี ..เห็นยาเช้า โชคเจ้ามีมากหลาย 06.00-07.30
ยาม2 ไม่ดี..เห็นยามงาย เคราะห์หลายเหลือล้น 07.30-09.00
ยาม3 ดี..เห็นยามแถ ตึกแหดูม่วน โชคก็ด่วนมาฮอดมาเถิง 09.00-10.30
ยาม4 ไม่ดี.. เห็นยามเที่ยง ใจเบี่ยงพาลา มันจะเป็นโรคามรณาอันฮ้าย(ร้าย) 10.30-12.00
ยาม5 ดี.. เห็นยามตุดซ้าย ความฮ้ายบ่มี 12.00-13.30
ยาม6 ไม่ดี.. เห็นยามแลง ใจแข็งท่อฟ้า ได้แก่ลุงและป้า อาวอาเราแน่13.30-15.00
ยาม7 ดี.. เห็นยามแถใกล้ค่ำ โชคพล่ำพอใจ 15.00-16.30
ยาม8 ไม่ดี.. เห็นยามค่ำ กรรมใส่คนเห็น เป็นกรรมเวลเก่าหลังมาฮอด16.30-18.00
☆ ส่วนยามกลางคืน มี8ยาม ยามละ1ชั่วโมง30นาที ถ้าเห็นลางต่อนี้ในตอนกลางคืน เป็นเข็ญ
อ่านแล้วพิจจารนาเอาเด้อ ส่วนใครจะเสดาะห์เคราะต่อชะตา สวดเสริมดวง เสริมชะตาชีวิต แก้เคราะห์เข็ญเวลภัยอย่างไร ถ้าต้องการมาให้ผมแก้ให้ ก็รอให้ผมพร้อมแล้วจักแจ้งให้ทราพ อีกทีนะครับสาธุๆๆ

แหล่งประจุไฟฟ้า





แหล่งประจุไฟฟ้า จะสามารถถ่ายเทกำลังไฟแก่แหล่งรับพลังงานต่างๆได้ ก็ต้องทำตนเองให้มีประจุกำลังไฟฟ้าไว้มากพอ ต่อเมื่อมีแหล่งพลังงานอื่นๆมาเชื่อมต่ออย่างถูกต้อง กระแสพลังไฟฟ้าย่อมส่งผ่านได้เองโดยอัตโนมัติ อุปมาฉะนี้แม้การแผ่คลื่นพลังจิตก็เช่นเดียวกัน ผู้เป็นแหล่งพลังงานทางจิต ก็ต้องกระทำจิตตนให้สมควรแก่เหตุ หมายความว่า ผู้จะแผ่พลังให้แก่ผู้อื่นเป็นจำนวนมากและต่างสถานที่ ก็ต้องฝึกจิตได้เป็นฐานกำลังที่มั่นคง ต่อเมื่อจะแผ่โดยไม่ได้เจาะจงผู้ใด ก็เพียงแค่ตั่งจิตไว้ฐานสำคัญฐานใดฐานหนึ่ง ตามแต่เจตนาจะแผ่ในลักษณะใด ด้วยการอธิฐานจิตแล้ววางจิตใว้ที่ฐานใดฐานหนึ่งให้มั่นคง ทำความรู้สึกเหมือนประหนึ่งว่าตัวเราเองเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานใหญ่ โดยอาศัยการกล่าวอ้างเอาคุณพระรัตนตรัย คุณบิดามารดา ครูอาจารย์ เป็นบารมีที่พึ่งที่ระลึกสำคัญของจิตใจ และพร้อมจะเผื่อแผ่แก่บุคคลอื่นด้วยความปรารถนาดี ต่อเมื่อผู้อื่นเพ่งจิตมาได้อย่างถูกต้องและสมแก่เหตุที่เขาไห้สร้างไว้ ก็จะสามารถรับเอาคลื่นพลังจิตที่เราตั่งไว้ดีแล้วได้มากน้อยตามกำลังจิตของผู้รับเอง ฉนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้รับแรงครูนั้นจะเกิดผลได้มากน้อยต่างกัน ก็สำคัญที่ผู้รับเองเป็นเหตุ ผู้มีใจศรัทธาและเชื่อมั่นอย่างจริงใจ ย่อมทำให้เกิดสมาธิจิตตั่งมั่นระลึกถึงคุณผู้อุปการะได้ด้วยจิตที่นอบน้อม ก็จะสงผลให้เกิดความสมปรารถนาได้อย่างสมบูรณ์
 "กระแสไฟมีหน้าที่วิ่งผ่านสื่อนำที่ดี กระแสจิตก็มีหน้าที่วิ่งผ่านสื่อนำที่ดีเช่นกัน ฉนั้นท่านควรฝึกจิตให้เป็นสื่อที่ดีไว้เถิด" สาธุๆๆ

ว่าด้วยความหมายของผ้าขาวผ้าแดง




ว่าด้วยความหมายของผ้าขาวผ้าแดง และเคล็ดในการปูผ้าประจำหิ้ง บางตำราของครูจะเห็นว่ามีการใช้ผ้าขาวผ้าแดงในพิธียกขันครูเรียนตำราพระเวทย์ เเม้ในการทำการบูชาครูน้อย(ไหว้ครูขนาดเล็ก) ก็จะมีการใช้ผ้าสองสีนี้ประกอบ ซึ้งก็มีความหมายโดยนัยว่า ผ้าขาวเป็นตัวแทนการคำนับครูที่เสียชีวิตแล้ว ส่วนผ้าสี แดงเป็นการคำนับครูที่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นเอง และในการใช้ผ้าทั้งสองสีนี้ปูรองหิ้งพระหิ้งครู ก็จะมีอานุภาพแตกต่างกัน จะเห็นได้ว่าบางที่นั้นก็ใช้ผ้าสีแดงปู บางที่ก็ใช้ผ้าสีขาวปู ความเป็นเดชเป็นอำนาจก็จะเกิดผลต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ้งเรื่องนี้เป็นความลับพอสมควรจึงจะถือโอกาสบอกให้เฉพราะศิษย์ที่เรียนตำราวิชชา เมื่ออะไรลงตัวก็จะค่อยๆบอกอีกทีในกลุ่มลับเด้อ ทุกอย่างมีความหมายและความสำคัญในตัว ในบางคติก็ถือเป็นเคล็ดวิชชา และก็ถือเป็นอุบายธรรมให้คนคิดตามเพื่อสอนคนให้เป็นคนดี สาธุๆๆ

ขันครูขันห้า ความหมาย ทำไมจึงต้องแต่งบูชาครู



ขันครูขันห้า ความหมาย ทำไมจึงต้องแต่งบูชาครู
ขันห้าในหลักคำสอน คือตัวเรา มี1รูป 2เวทนา 3สัญญา 4สังขาร 5วิญญาน เรียกขันห้า 
ในอุปมาการไหว้ครูที่มีขันห้าจึงกำหนดหมายว่าให้แต่ง ดอกไม้ขาวห้าคู่ เทียนขาวห้าคู่ กลวยห้าคู่ แล้วส่งมอบให้แก่ครู เมื่อครูรับมอบขันแล้วก็จะกล่าวการอนุญาติสิทธิ์ในการใช้ตำรานั้นๆ ในอุปมาของขันนั้นคือตัวเรา ที่เรายอมมอบให้ครูอบรมสั่งสอน เมื่อครูรับไปแสดงถึงว่าท่านยอมรับเราเป็นศิษย์มาเพื่ออบรมวิชชาความรู้ อย่างนี้ 
 ในนิมิตหนึ่งก็แปลให้เข้าใจถึงการบูชาคุณความดีของครูผู้ประสาทวิชชาการให้ด้วย อามิสมีดอกไม้ของหอม เป็นต้น ส่วนการปฏิบัติบูชาคุณครูนั้นสำคัญยิ่งกว่า เพราะเป็นตัวแปลที่สำคัญในการเล่าเรียน ผู้ที่จะเกิดผลสำเร็จสมดังเจตนาหมายในวิชชา การน้อมใจเคารพบูชาด้วยใจจริง ยอมเงี่ยหูฟังด้วยดี คือตั่งใจรับฟัง ไม่ดูถูกดูแคลนความรู้ครู แม้ในบางกรณีความรู้ตนจะมีมากมายเพียงใด แต่เมื่อเรายอมมอบตนเป็นศิษย์ก็ต้องทิ้งมานะทิฏฐิ ถือตัวอวดดีทิ้งเสียให้สิ้น ด้วยความสำนึกและประพฤติดีอันเป็นคุณธรรมประจำใจ ที่เป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้ผู้เล่าเรียนเป็นผู้เจริญทั้งด้านวิชชาและคุณธรรม ดอกไม้สีขาวกลิ่นหอม อันหมายถึงศีลหรือความประพฤติดีงาม ที่ถูกจัดใส่จานและกลวยก็คือความยอมรับในกฏระเบียบแบบแผนที่ครูสอนในการประพฤติตนตามครรลองคลองครูและคลองธรรม เทียนที่เปลียบแสงสว่างแห่งปัญญาและวิชชาที่เล่าเรียน อนึ่งก็เปรียบดั่งจิตใจที่พร้อมน้อมรับคำสอน แนวทางและความรู้ เทียนสีผึ้งที่อ่อน เปรียบความอ่อนโยนโอนอ่อนนอบน้อม ไม่แข็งกระด้าง ในการอุปถัมถ์อุปถากครูเเละเคารพเชื่อฟัง
 ก็จะสมกับคำตรัสสอนพระพุทธองค์ดังนี้
อภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน, จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง.
พรสี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคล, ผู้มีปกติไหว้กราบ มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ เป็นนิตย์ ด้วยประการฉะนี้แล.

จิต



จิตเมื่อเจริญสติมากเท่าไหร่ก็จะทำให้รู้เห็นความจริงได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อปัญญารู้เห็นความจริงย่อมทำให้ค่อยๆคลายความยึดถือออกไปทีละน้อย ความสุขสงบสำหรับผู้เจริญสติเป็นแค่ที่พัก แต่ไม่ใช่ที่อยู่ ยิ่งเจริญสติได้สมบูรณ์มากเท่าไหร่ ก็จะทำให้รู้เห็นทุกข์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะแม้สุขที่ตนเองเสพคุ้นอยู่ก็เป็นทุกข์อย่างละเอียดที่ไม่น่ายึดถือ 
 ในครั้งหนึ่งเคยสอบถามพระอ.ชู ว่า "อาจารย์ครับ ทำไมผมยิ่งปฏิบัติยิ่งเจริญสติ ก็ยิ่งทำให้เห็นแต่ทุกข์เต็มไปหมด มองหาสุขที่แท้ไม่เจอเลย แม้สุขเกิดจากสมาธิก็แค่ชั่วยาม ประเดี๋ยวก็กลับมาทุกข์เหมือนเดิม ผมนึกว่ายิ่งเราปฏิบัติยิ่งจะทำให้เรามีแต่ความสุขสงบ"
พระอาจารย์ชูท่านจึงสอนว่า " ในอริยสัจสีพระพุทธเจ้าทรงยกเรื่องทุกข์ขึ้นมาสอนก่อน นั้นก็เพื่อให้เรารู้เห็นทุกข์ก่อน เพราะความเป็นจริงเราต่างอยู่กับทุกข์แต่ไม่เห็นและรู้จัก แม้ในการสอนของครูหลายๆท่าน จะสอนให้เรานั่งนานๆไม่ให้เปลี่ยนอริยาบท คนพอนั่งนานๆทุกข์ทางกายมันก็เกิด แต่พอมันเกิดเราก็ไม่ยอมเห็นและยอมรับในทุกข์ พอปวดขาเราก็ขยับทุกข์มันก็ดับ แต่ถ้าคนที่มีปัญญาจะเข้าใจทันทีว่า ออชีวิตเรามันมีแต่ทุกข์จะนั่งนานก็ไม่ได้ ถึงจะทนได้ขนาดใหนก็หนีทุกข์ไม่ได้ ทุกข์ที่เกิดจากร่างกายอย่างหนึ่ง ทุกข์เกิดจากโรคภัยอย่างหนึ่ง ทุกข์เกิดจากการตรากตรำอย่างหนึ่ง ทุกข์เกิดจากอากาสแปรปรวนอย่างหนึ่ง จึงเห็นได้ว่าทุกข์มีอยู่จริงกับเรา เมื่อเราเห็นแล้วเรายอมรับใหมว่าชีวิตการเกิดเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยทุกข์ ทุกข์กายก็มากมายซ้ำยังมีเรื่องของกิเลสที่ทำให้ทุกข์ใจอีก สาระพัด ฉนั้นที่เราปฏิบัติธรรมก็เพื่อมากำหนดรู้ทุกข์ที่เกิดขึ้น ว่ามีอยู่จริง ยิ่งเราเห็นมากเท่าไหร่และยอมรับได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมองเห็นทุกข์ได้ชัดเจนยิ้งขึ้น แม้ความสุขสงบที่เกิดจากสมาธิก็เป็นทุกข์อย่างละเอียด ที่ว่าทุกข์เพราะมันมีสภาพทนอยู่หรือตั่งอยู่อย่างนั้นไม่ได้ มันเกิดขึ้นตั่งอยู่แล้วย่อมดับไปเป็นธรามดา และเมื่อสติปัญญารู้เห็นทุกข์ได้มากและเข้าใจความจริงก็จะมองเห็นซึ่งเหตุที่เป็นตัวทำให้ทุกข์เกิดนั้นคือตัญหาสามประการ กามตัญหา ภาวะตัญหา วิภวตัญหา ทั้งสามอย่างนี้เป็นเหตุภายในจิตใจเรา ที่เรานั้งสมาธิจนได้ความสงบนั้นเป็นภาวะตัญหา ที่จริงเราก็อาศัยมันในการทำดีนั้นแหละ แต่ถ้าไม่เท่าทันด้วยสติปัญญา มีความติดอกติดใจในรสสุขแห่งสมาธิ เกิดความยึดมั่นด้วยโมหะ อย่างนี้ทุกข์ก็เกิด ฉนั้นจะทุกข์หรือเหตุให้เกิดทุกข์ จึงเป็นสิ่งที่เราต้องมาฝึกกำหนดรู้ เพื่อให้เข้าใจความจริงความเป็นจริงในตน เราก็จะใช้ทุกข์และเหตุแห่งทุกข์นี้แหละเป็นเครื่องกำหนดพิจจารนาให้เห็นจริงและข้ามมันได้ การกำหนดรู้ก็คือมรรค ความรู้ว่าพ้นได้นั้นคือนิโรจน์ความพ้นทุกข์ จึงสรุปได้ว่าการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การหาความสุข แต่เป็นการเข้ามารู้เห็นความจริง ตามความเป็นจริง เพื่อจะได้พ้นจากสิ่งเหล่านี้ จะเป็นสุขหรือทุกข์ก็เป็นเครื่องเจริญสติเท่านั้น ใครปฏิบัติธรรมแล้วว่าสุขจริงหนอ คนนั้นปฏิบัติผิดทาง ถ้าไม่ถึงโสดาบันเป็นเบื่องต่ำก็จะยังไม่เจอสุขที่แท้จริงได้เลย ที่ท่านปฏิบัติแล้วเห็นแต่ทุกข์นั้นแหละถูกทางแล้ว ต่อไปก็ฝึกเอาว่าทุกข์แบบใหนควรละทิ้ง ทุกข์แบบใหนควรวาง ทุกข์แบบใหนควรแก้ไข ทุกข์แบบใหนยังต้องอาศัยกำหนดพิจนารนาเป็นเครื่องข้าม "
ที่จริงคำสอนพระอาจารย์ปราณีตมากเกินจะนำมาขยายให้เข้าใจได้หมดทีเดียว ผมก็นำเสนอตามที่พอมีปัญญาเข้าใจและนำเสนอได้ แต่ก็หวังว่าจะเป็นประกายทำให้บางคนบางท่านมองเห็นทางปฏิบัติได้ชัดเจนขึ้น สาธุๆๆ

การปรุงจิตในการเสกเลขยันต์



การปรุงจิตในการเสกเลขยันต์ การเสกต้องละความกังวลและความลังเลใจเสียให้สิ้นในเวลานั้น การเสกจึงจะสมบูรณ์ ใครปรุงจิตให้น้อมไปอย่างนี้ได้ แม้จะเสกเพียงชั่วครู่หรือเสกเป็นไตรมาสก็ขลังได้เสมอกัน เพราะจะความรู้สึกเชื่อว่าขลังแล้วดีแล้วนั้นมันเป็นอันเดียวหนึ่งเดียวกัน จะเสกครู่เดียวหรือไตรมาสก็ตาม "มันความรู้สึกอันเดียวกัน" แต่ถ้าเราปรุงใจอย่างนี้ไม่ได้ ต่อให้เสกเป็นปี มันก็ไม่ขลัง เพราะความกังวลและลังเลใจนั้นแหละกั้นไว้
* ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ เกิดด้วยใจปรุงแต่ง จงใช้สมมุติให้ถูกก็เป็นคุณ...สาธุๆๆ

สมาธิถ้ารู้จักใช้เป็น




สมาธิในขั้นต้นและขั้นกลางนี้ ถ้าใช้เป็นและถูกการงานก็เกิดประโยชน์มากมาย ที่เราเรียนหนังสือ ได้เกรดดีๆ จบความรู้ทางโลกต่างๆ ได้ทำงานมีฐานะร่ำรวย นี้ก็ล้วนได้จากการใช้สมาธิสองขั้นนี้ทั้งนั้น คนที่ตั่งใจท่องตำราได้มากมายนี้ก็สมาธิเหล่านี้ เราเองไม่รู้เฉยๆ 
 ไม้ขีดไฟก้านเดียว สามารถก่อกองไฟกองใหญ่หรือเผาเมืองได้ ก็เพราะมีเหตุปัจจัยพร้อมมูล แต่ถ้าจุดแล้วทิ้งไปที่ว่าง จุดอยู่เป็นพันก้านมันก็ไม่เกิดกองไฟได้ สมาธิก็เช่นกัน ไม่ต้องใจร้อนอยากได้มากจนมองข้ามสิ่งเล็กน้อย เพราะสมาธิเล็กน้อยนั้นสามารถมีคุณและโทษได้เสมอกันถ้ารู้จักและใช้เป็น...สาธุๆๆ

การวางช่องไฟยันต์



การวางช่องไฟยันต์
การสักยันต์ยังมีหลายท่านที่ยังไม่เข้าใจหลักในการวางยันต์สูงต่ำเท่าใดนัก การวางยันต์เราไม่จำเป็นต้องตามใจคนสักก็ได้ เพราะบางที่คนสักเขาชอบสวยแต่ไม่เข้าใจความสูงต่ำของคุณในแต่ละยันต์จึงมักให้เราสักในตำแหน่งที่ตนชอบ แต่ถ้าตำแหน่งนั้นไม่เหมาะสมเราก็ควรบอกและอธิบายให้เขาเข้าใจ และเลือกยันต์ที่เหมาะสมแก่ตำแหน่งยันต์ ในบางที่เราสักการวางโครงยันต์และตำแหน่งยันต์นั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้ายันต์ที่เป็นรูปสัตว์ควรวางไว้ตำแหน่งต่ำไว้จะดีที่สุด เช่นยันต์จิ่งจก สาริกา เป็นต้น วางตรงตำแหน่งที่ต่ำไว้ เพราะเมื่อเราจะสักรูปต่อๆไป ที่มีคุณสูงขึ้นก็จะได้วางในตำแหน่งเหมาะสม ได้อย่างถูกต้องสวยงาม การจัดช่องไฟไว้ก็สำคัญ วางช่องไฟเว้นว่างไว้ตรงตำแหน่งเหมาะสมเมื่อสักรูปต่อๆไป ก็จะดูสวยงามและถูกต้องตามคุณธรรมของยันต์นั้นๆ ไม่ใช่เห็นว่าจะสักตรงใหนก็ได้ พอเขามาสักกับเราบ่อยๆจนเต็ม เมื่อลงอักขระตรงช่องไฟว่างก็จะทำให้ออกมาไม่สวยและเป็นระเบียบ ก็ฝากไว้นะครับ
 ตามที่ผมดูและเห็นว่าวางโครงภาพและช่องไฟ พร้องวางรูปยันต์สูงต่ำได้ถูกต้อง ขอยกตัวอย่างและชมเชยท่าน อ.ปู พุทธมนฑณสายสอง ซ้ำเป็นผู้เล่าเรีบนมาดีจากครูอาจารย์หลายๆท่าน และมีความชำนาญในการวางรูปยันต์ไว้ดีมาก...สาธุๆๆครับ
*สมมุติถ้าเราสักจิ่งจกไว้หลังด้านบนแล้ว ถ้าเราจะสักพ่อแก่ต่ำลงมาย่อมสักไม่ได้ แม้สักเสือก็ยังไม่เหมาะ ฉนั้น คิดไว้ไกลๆ นึกจะสักตรงใหนก็คิดถึงวันหน้าด้วย

สะเก็ดไฟนิดเดียว ถ้าเกิดถูกที่ก็สร้างเปลวเพลิงได้มหาศาล สมาธิก็เช่นกัน



ผมสอนเรื่องฐานดินให้ ซึ้งถ้าใครทำขั้นแรกและขั้นสอง.. ได้ ก็สามารถรวยได้และจะมีบริวาร มาก หลวงปู่ธรรมบาลท่านบอกว่า คำว่าจนจะไม่มีสำหรับผู้ตั่งใจทำจริงๆ แค่สมาธิขั้นต้นๆนี้แหละถ้าวางถูกจุดและหมั่นทำอย่างสม่ำเสมอ ก็จะแก้ทุกข์หยาบคือความจนได้แน่นอน ...
* แล้วถ้าทำได้ถึงขั้นฌาณ จะขนาดใหน 
แต่จะพูดถึงฌาณ ต้องได้ขั้นต้นก่อน ที่ว่าได้คือชำนาญ ในสมาธิขั้นต้นก่อน เราส่วนมากแม้แต่สมาธิขั้นต้นคือขนิกะสมาธิยังไม่รู้จักและแยกแยะสภาวะไม่ถูกเลย หนำซ้ำยังจำแนกองค์ของสมาธิไม่ได้ ไม่รู้จักเครื่องกั้นการทำสมาธิ ยังไงก็พัฒนาไปสู่สมาธิขั้นสูงยิ่งๆขึ้นไม่ได้ บางที่ทำไปก็จะหลงในนิมิต หลงในปิติ ที่เป็นของแปลกใหม่ จนเข้าใจว่าได้ฌาฌได้ญาณพิเศษอะไรกันอีก ก็จะทำให้ยึดและติดในอารมณ์นั้นๆและไม่สามารถก้าวล้วงพ้นและพัฒนาจิตให้สูงขึ้นไปได้ ปกติจิตเรามันไม่ได้พัฒนาแบบขึ้นขั้นบันใดค้าง แต่มันจะขึ้นลงขึ้นลงไปมาสูงบ่างต่ำบ่าง จนบางทีบางคนไม่เขาใจจึงว่าตนไม่ได้อะไร ที่แท้จิตมันกำลังพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นลำดับ การที่จิตสงบได้มากน้อยต่างกันในแต่ละครั้งและไม่สงบในบางครั้งหรือบ่อยครั้ง นั่นเป็นอาการจิตมันทำหน้าที่ อุโลมปฏิโลม คือเดินหน้าสู่ความสงบและถอยหลังกลับมาสู่ความไม่สงบ เพื่อให้ปัญญาเห็นแจ้งในอารมณ์ว่าทุกอย่างเป็นความไม่เที่ยง แท้ จะสุขหรือทุกข์ก็ตาม มีจิตดำเนินขึ้นลงจนชำนาญก็จะทำให้เห็นทางที่ชัดเจนด้วยปัญญา การหยั่งรู้อารมณ์ตนเอง จึงไม่ยินดียินร้ายในสภาวะจิตที่ขึ้นลงไปมา จิตจึงจะพัฒนาและขยับขึ้นสู่สภาวะละเอียดต่อไป และก็จะยังขึ้นลงอย่างนี้ปกติ จะสมาธิขั้นใหนก็เป็นอย่างนี้ จะขั้นต้นก็ต้องให้ชัดเจนแจ้งชัดในสภาวะและความละเอียดอ่อน สมาธิขั้นต้น มีองค์ประกอบอะไรบ่าง ลักษณะอาการเป็นอย่างไร ต้องถามตอบตนเองได้ชัดเจน จึงจะเข้าใจสมาธิขั้นสูงยิ่งขึ้นได้ เพราะที่จริงแล้ว จะสมาธิขั้นต้นหรือขั้นใหนมันสำคัญเสมอกับ ถ้าเงินร้อยมันขาดเงินแค่บาทเดียวมันก็ไม่ครบร้อยอยู่ดี
 *ท่านอาจจะเข้าใจยาก แต่ก็อยากอธิบายให้รู้ว่าอย่ามองข้ามสมาธิเล็กน้อย เพราะถ้ามองข้ามและทิ้งความสำคัญ คุณจะไม่มีวันได้สมาธิที่แท้จริงของศาสนาพุทธเลย....สาธุๆๆ
(คนที่ปฎิบัติธรรมแล้วยังจนกันอยู่ไม่รวยสักที ต่อให้ได้ฌาน แสดงฤทธิ์ได้ก็ยังจน เพราะเอาใจลงไม่ถึงดิน ทั้งใช้เทวดาและเบิกบุญมาใช้ไม่เป็น.)
ที่กล้ายืนยันตรงนี้เพราะที่ผมเสกเครื่องรางให้ท่านบูชาและทดลองเครื่องรางนั้น ก็แค่สมาธิขั้นต้นๆเท่านั้น ไม่ได้มีสมาธิสูงส่งอะไร จึงรับลองด้วยการทำให้ดูและพิสูจน์ให้ดูว่า สมาธิขั้นต้นๆนี้ก็มีอานุภาพมากมายถ้ารู้จักคุณและใช้เป็น
..เหมือนสะเก็ดไฟนิดเดียว ถ้าเกิดถูกที่ก็สร้างเปลวเพลิงได้มหาศาล สมาธิก็เช่นกัน...!

เคล็ดการลอง



เคล็ดการลอง
เวลาลองมีด ค่อยๆกด และ ค่อยๆลากคมมีด เพราะตอนกดคมมีดแรงๆและลากคมมีดแรงๆ เรื่อยๆนั้น เราจะใช้จังหวะที่ค่อยๆเน้นกำหนดจิตเพ่งด้วยความกล้าหาญ ไปพร้อมกับการภาวนาคาถาปลุก "แรงเพ่งของจิตกับแรงกดให้เป็นอันเดียวกัน.."
อย่ากรีดเร็วเพราะจิตจะไม่ค่อยตั่งมั่น ต่อเมื่อชำนาญและมั่นใจแล้วจะกดแรงหรือเร็วก็ย่อมทำได้....สาธุ
* เอาไปฝึกทำให้ชำนาญเด้อ อย่ากลัว เพราะความกลัวเป็นอุปสรรค ของจิตที่ตั่งมั่น

เคล็กฝึกสมาธิให้ได้ความชำนาญ



เคล็กฝึกสมาธิให้ได้ความชำนาญ
เคล็ดการเจริญสมาธิให้เกิดความชำนาญนี้ เป็นคำสอนของพระ อ. ชู ท่านได้สอนให้ผมได้ปฏิบัติ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการเจริญสมาธิ วิธีนี้เรียกฝึกให้ชำนาญในการนึกถึงอารมณ์สมาธิ เป็นวสีอย่างหนึ่งของฌานสมาธิ(ชำนาญในการนึก)
ก่อนอื่นเราก็มาทำความเข้าใจในเรื่องของ อารมณ์ของสมาธิกันก่อน เนื่องด้วยวิธีนี้เป็นการใช้สัญญาความจำได้หมายรู้ในอารมณ์ความรู้สึก หมายความว่า การนึกถึงอารมณ์นั้น เราจะต้องเคยได้ผ่านอารมณ์นั้นมาก่อน และโดยเฉพาะอารมณ์ของสมาธิเป็นอารมณ์ปราณีตละมุนละไม ละเอียดอ่อน เมื่อผู้เคยปฏิบัติได้จนเกิดความสุขสงบที่หาอะไรเปรียบมิได้นั้น แม้เมื่อได้สัมผัสในความสุขสุขุมลุ่มลึกของสมาธิ ใจย่อมเก็บความประทับใจไว้ แต่ในการปฏิบัติเนื่องด้วยตัณหาเป็นเครื่องก่อทุกข์ จิตเมื่อมีความติดในรสความสุขที่ไม่อิงอามิสคือไม่อิงอาสัยกามคุณทั้งห้า ความสุขนี้จึงเป็นสุขที่ปรานีต ทำให้ติดอกติดใจ จนเกิดความทยานอยาก อยากจะให้เกิดความสุขสงบดังได้เคยลิ้มรส เราเองจึงไม่มีทางที่จะได้รับสุขอย่างนั้นอีก เพราะเราเกิดตัณหามาบังจิตที่บริสุทนั้นเอง ถ้าปัญญาพิจจารนาไม่รอบคอบและไม่รู้รอบในอารมณ์ตน ก็จะยกจิตเข้าสู่อารมณ์สมาธินั้นอีกได้อยากหรือไม่ได้เลย ฉนั้นเมื้อเข้าใจต้นเหตุว่าจิตเมื่อเกิดความอยากจึงทำให้ปฏิบัติไม่เจริญก้าวหน้า เราเองจึงต้องใช้สติปัญญาพิจจารนาอารมณ์ให้รู้เห็นเป็นไตรลักษณ์ คือมีความเกิดขึ้น แปลปรวน แล้วก็เสื่อมไป เป็นธรรมดา เมื่อคิดได้อย่างนี้ จิตที่ทยานอยากก็จะค่อยๆคลายความกำหนัดลง จิตก็จะเริ่มสงบ เมื่อเข้าใจธรรมชาติของอารมณ์ ว่าเป็นธรรมดา เราก็จะวางจิตให้เป็นกลางในการปฏิบัติ แต่จะอาศัยความเพียรคือหมั่นละรึกถึง อารมณ์นั้นเนืองๆ หมายความว่า แม้ว่าเราจะไม่สามารถเข้าสู่ความสงบนั้นได้จริง แต่เราสามารถนึกถึงความสุขสงบนั้นได้เพราะอาศัยความประทับใจ พอใจ ยินดีในอารมณ์สุขนั้น เราจึงนำมานึกถึงเนืองๆ มีสติเราก็คอยนึกถึงความสุขนั้นอยู่เสมอๆ นึกเมื่อไหร่ ใจเราก็จะคุ้นเคยกับอารมณ์นั้นมากยิ่งขึ้น ยิ่งนึกบ่อยๆทำบ่อยๆ ใจเราก็จะเสพคุ้นกับอารมณ์สุขนั้น จนในที่สุดก็จะสามารถเข้าสู่อารมณ์นั้นได้จริง อย่างนี้พระอ.ชูท่านสอนให้เราปฏิบัติโดยสามารถทำได้เสมอและทุกเวลาที่ยังมีสติ จะทำงานหรือเดินอยู่ก็ทำได้ ซึ่งการปฏิบัติอย่างนี้จะไม่มาเน้นแต่การนั่งเท่านั้น ทุกอริยาบทสามารถทำได้ แค่ใช้ใจนึก ถึงอารมณ์ และบังคับประคองใจให้เสพคุ้นกับอารมณ์นั้น เมื่อเกิดความชำนาญ เราก็จะเข้าสู่สมาธิตัวจริงได้ ในหลักการปฏิบัตินี้ผมก็ได้เกิดความชำนาญและเข้าใจ เมื่อเวลาคนที่มาหาผมให้สอนในการลอง คนที่ตั่งใจฟังและตั่งใจมาเอาความรู้จริงๆ เมื่อคุยกันแล้วผมเห็นว่าสมควรสอน และสามารถบอกแล้วคนนั้นสามารถเข้าใจได้ เพราะใจนอบน้อมและตั่งใจฟัง ผมก็จะอธิบายให้เข้าใจและเห็นสมาธิและอารมณ์นั้นได้ง่ายๆ และบอกให้ดึงเอาจิตนั้นมาใช้ประโยชน์ได้ เมื่อนำสมาธิเล็กน้อยนั้นนำไปฝึกพัฒนาจนชำนาญ ก็จะสามารถทำให้เกิดผลได้มีอำนาจและพลังได้ดียิ่งๆขึ้น หรือสามารถทำได้ดีกว่าผู้สอนก็ย่อมเป็นไปได้ เพราะเรื่องทำมันทำใครทำมัน ใครเข้าใจแล้วนำไปฝึกหมั่นทำหมั่นปฏิบัติและใช้ความเพียรไม่ท้อถอยก็สามารถมีความพัฒนาได้ดี ส่วนผมนั้นฝึกเจริญสติหวังมรรคผลนิพพาน จึงไม่มีจิตฝักไฝ่เรื่องฌานสมาธิ ถ้าตั่งใจฝึกจริงๆมั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องเกินสามารถ และท่านทั้งหลายเองก็ทำได้เช่นกัน เพราะเรื่องฌานเป็นเรื่องความชำนาญ ฉนั้นเราจึงจะมองข้ามสมาธิเล็กน้อย และขั้นกลางไม่ได้ และศีลก็เป็นเหตุให้เกิดความสงบ แม้ปัญญาก็เป็นเครื่องนำมาพิจจารนาให้เข้าใจในการรักษาศีลอย่างอย่างถูกต้อง ไม่เป็นการรักษาแบบยึดมั่นในศีลพรต ในศาสนาพุทธจึงสอนเราให้เจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา ไปพร้อมๆกัน ก็ขอฝากไว้ 
 สุดท้ายนี้ก็หวังว่าจะมีคนที่สามารถพิจจารนาเข้าใจหลักปฏิบัติและนำไปเสริมในการปฏิบัติที่ตนทำอยู่ให้เจริญก้าวหน้าต่อไป 
 ในการปฏิบัติ จงถามตัวเองว่าเรามองเห็นทางปฏิบัติได้เป็นเส้นทางหรือยัง คือรู้ว่าเราเริ่มจากจุดนี้ และเดินมาถึงจึดนี้ แล้วต้องเดินไปต่ออีกตามทางนี้ ถ้าคิดได้อย่างนี้ก็เรียกได้ว่าเราทำชีวิตให้มีทางเดินและเป้าหมายที่เหลือก็เดินทางด้วยการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด จิตเราจะเปิดโล่งและไม่ทึบหนทางเดิน คนที่ทำร้านตนเองและคนอื่นหรือแม้ฆ่าคนอื่นหรือฆ่าตัวตาย เพราะคนเหล่านี้ไม่มีทางเดินและจุดหมายให้กับตนเอง เมื่อเจอปัญหาจึงมืดมนต์และเจอทางตันแห่งความคิด ...เราล่ะเป็นอย่างนั้นใหม?
สาธุๆๆๆ...

ยาม อัฏฐกาล



ตำราพรหมชาติฉบับสมบูรณ์

ยาม อัฏฐกาล
สิทธิการิยะฯ เมื่อจัดหาฤกษ์เวลาวางลัคน์ประจำดวงแบบเลข 7 ตัว ท่านให้กำหนดหาจากดวงดาวที่อยู่ไกลเข้ามาหาใกล้ที่สุดของโลก โดยกำหนด อย่างนี้
7 ดาวเสาร์ (เสารี)
5 ดาวพฤหัสบดี (ครุ)
3 ดาวอังคาร (ภุมมะ)
1 ดาวอาทิตย์ (สุริชะ)
6 ดาวศุกร์ (ศุกระ)
4 ดาวพุธ (พุธะ)
2 ดาวจันทร์ (จันเทา)
และกำหนดเอาชื่อดาวทั้ง 7 ดวงนี้เป็นชื่อของวันทั้ง 7 คือ สัปดาห์หนึ่ง โดยถอดเอาตัวกลางคือ 1
อาทิตย์ (สุริชะ) ไปอีกละ 4 ก็จะได้ 2 จันทร์ (จันเทา) และนับต่อจันทร์ออกไปอีก 4 ก็จะได้ 3 อังคาร (ภุมมะ)
นับในทำนองนี้เรื่อยไปจนครบทั้ง 7 ดวง เราก็จะได้ชื่อวันครบทั้ง 7 วัน เปลี่ยนแปลงชื่อเดิม ตามที่วงเล็บไว้เสียใหม่เป็นชื่อวัน ดังที่เราใช้เรียกกันทุกวันนี้ว่า อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ ตามลำดับ
เมื่อกำหนดดาว ทั้ง 7 ดวง เป็นชื่อวันทั้ง 7 คือ สัปดาห์หนึ่งและยังแบ่งออกเป็น ชั่วโมงอีก จากเวลาเช้าพระอาทิตย์ขึ้นถึงเวลาเย็น พระอาทิตย์ตกเป็น 12 ชั่วโมง และจากพระอาทิตย์ตก ไปบรรจบพระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ทั้งสองตอนรวม 24 ชั่วโมง เป็นเวลาหนึ่งวัน คือวันหนึ่งแบ่งออกเป็น 2 ภาค นี่เอง ภาคกลางวัน 12 ชั่วโมง ภาคกลางคืน 12 ชั่วโมง นับแต่พระอาทิตย์ขึ้น จนกระทั่งตกดิน และเริ่มขึ้นใหม่ อีกเป็นวันหนึ่ง
ตามวิชาโหราศาสตร์ กำหนดวันโดยใช้ดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ คือ จากดวงอาทิตย์ขึ้นไปบรรจบดวงอาทิตย์ขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่งเป็นวันหนึ่ง (มิได้ใช้ 24 นาฬิกาล่วงไปแล้วเป็นวันใหม่ ดังเช่นเวลาทีทางการกำหนด)
ในภาคกลางวัน นับแต่ดวงอาทิตย์ ขึ้นจนตกดินนั้น เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ตามกำหนดแบ่งออกเป็น 7 ตอนด้วยกัน ตอนหนึ่งเรียกว่ายามหนึ่ง เวลา 12 ชั่วโมง หรือ แบ่งยามเป็น 8 ยาม คงได้ยามละ 1 ชั่วโมง 30 นาที และภาคกลางคืน ท่านก็แบ่งออกเป็น 8 ยาม เหมือนกัน ยามละ 1 ชั่วโมง 30 นาที เท่ากัน
ยามทั้ง 8 ทั้งภาคกลางวัน และกลางคืน มีชื่อยามเรียกแตกต่างกัน โดยกำหนดเอาชื่อของวันนั้นเป็นยามแรก แต่เพราะชื่อที่จะเรียกมี 7 ยามเท่านั้น เพราะฉะนั้น ยามสุดท้ายจึงหวนไปใช้ชื่อยามต้นเรียกสงเคราะห์เข้าเป็น 8 ยามด้วยกัน
ตัวอย่าง
ยามกลางวัน วันอาทิตย์ ให้เอา สุริชะ (1) เป็นยามต้น
ยามกลางวัน วันจันทร์ ให้เอา จันเทา (2) เป็นยามต้น
ยามกลางวัน วันอังคาร ให้เอา ภุมมะ (3) เป็นยามต้น
ยามกลางวัน วันพุธ ให้เอา พุธะ (4) เป็นยามต้น
ยามกลางวัน วันพฤหัสบดี ให้เอา ครุ (5) เป็นยามต้น
ยามกลางวัน วันศุกร์ ให้เอา ศุกระ (6) เป็นยามต้น
ยามกลางวัน วันเสาร์ ให้เอา เสารี (7) เป็นยามต้น
วิธีเรียงยาม กลางวัน
วันอาทิตย์
06.00 - 07.30 น. เป็นยาม สุริชะ (1) คือยาม ต้น
07.30 – 09.30 น. “ ศุกระ (6) “ 2
09.00 – 10.30 น. “ พุธะ (4) “ 3
10.30 – 12.00 น. “ จันเทา (2) “ 4
12.00 – 13.30 น. “ เสารี (7) “ 5
13.00 – 15.00 น. “ ครุ (5) “ 6
15.00 – 16.30 น. “ ภุมมะ (3) “ 7
16.30 – 18.00 น. “ สุริชะ (1) “ 8
วันจันทร์
06.00 - 07.30 น. เป็นยาม จันเทา (2 ) คือยาม ต้น
07.30 – 09.30 น. “ เสารี (7 ) “ 2
09.00 – 10.30 น. “ ครุ ( 5 ) “ 3
10.30 – 12.00 น. “ ภุมมะ (3 ) “ 4
12.00 – 13.30 น. “ สุริชะ ( 1 ) “ 5
13.00 – 15.00 น. “ ศุกระ ( 6 ) “ 6
15.00 – 16.30 น. “ พุธะ ( 4 ) “ 7
16.30 – 18.00 น. “ จันทา ( 2 ) “ 8
วันอังคาร
06.00 - 07.30 น. เป็นยาม ภุมมะ ( 3 ) คือยาม ต้น
07.30 – 09.30 น. “ สุริชะ ( 1 ) “ 2
09.00 – 10.30 น. “ ศุกระ ( 6 ) “ 3
10.30 – 12.00 น. “ พุธ ( 4 ) “ 4
12.00 – 13.30 น. “ จันเทา ( 2 ) “ 5
13.00 – 15.00 น. “ เสารี ( 7 ) “ 6
15.00 – 16.30 น. “ ครุ ( 5 ) “ 7
16.30 – 18.00 น. “ ภุมมะ ( 3 ) “ 8
วันพุธ
06.00 - 07.30 น. เป็นยาม พุธ ( 4 ) คือยาม ต้น
07.30 – 09.30 น. “ จันเทา ( 2 ) “ 2
09.00 – 10.30 น. “ เสารี ( 7 ) “ 3
10.30 – 12.00 น. “ ครุ ( 5 ) “ 4
12.00 – 13.30 น. “ ภุมมะ ( 3 ) “ 5
13.00 – 15.00 น. “ สุริชะ ( 1 ) “ 6
15.00 – 16.30 น. “ ศุกระ ( 6 ) “ 7
16.30 – 18.00 น. “ พุธะ ( 4 ) “ 8
พฤหัสบดี
06.00 - 07.30 น. เป็นยาม ครุ (5 ) คือยาม ต้น
07.30 – 09.30 น. “ ภุมมะ ( 3 ) “ 2
09.00 – 10.30 น. “ สุริชะ ( 1) “ 3
10.30 – 12.00 น. “ ศุกระ ( 6) “ 4
12.00 – 13.30 น. “ พุธะ ( 5) “ 5
13.00 – 15.00 น. “ จันเทา ( 2) “ 6
15.00 – 16.30 น. “ เสารี ( 7) “ 7
16.30 – 18.00 น. “ ครุ ( 5) “ 8
วันศุกร์
06.00 - 07.30 น. เป็นยาม ศุกระ ( 6 ) คือยาม ต้น
07.30 – 09.30 น. “ พุธะ ( 4 ) “ 2
09.00 – 10.30 น. “ จันเทา ( 2 ) “ 3
10.30 – 12.00 น. “ เสารี ( 7 ) “ 4
12.00 – 13.30 น. “ ครุ ( 5 ) “ 5
13.00 – 15.00 น. “ ภุมมะ ( 3 ) “ 6
15.00 – 16.30 น. “ สุริชะ ( 1 ) “ 7
16.30 – 18.00 น. “ ศุกระ ( 6 ) “ 8
วันเสาร์
06.00 - 07.30 น. เป็นยาม เสารี ( 7 ) คือยาม ต้น
07.30 – 09.30 น. “ ครุ ( 5 ) “ 2
09.00 – 10.30 น. “ ภุมมะ ( 3 ) “ 3
10.30 – 12.00 น. “ สุริชะ ( 1 ) “ 4
12.00 – 13.30 น. “ ศุกระ ( 6 ) “ 5
13.00 – 15.00 น. “ พุธะ ( 4 ) “ 6
15.00 – 16.30 น. “ จันเทา ( 2 ) “ 7
16.30 – 18.00 น. “ เสารี ( 7 ) “ 8
ยามทั้ง 7 วัน ที่แบ่งไว้นี้ เป็นวิธีแบ่งยามในกลางวัน ของวันทั้ง 7 จาก 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น
(18.00 น.) ยามละ 1 ชั่วโมง 30 นาที เปลี่ยนชื่อยามที่ขึ้นต้นแล้วเวียนไปตามลำดับ
จากสุริยะ (1) ศุกระ (6) พุธะ (4) จันเทา (2) เสารี (7) ครุ (5) ภุมมะ (3) และชื่อยามอันนี้แหละ ต้องจำไว้เป็นหลักสำคัญ เพราะการหมุนเวียนของยามในวันหนึ่ง ๆ นั้นต้องเปลี่ยนไปตามนี้
ส่วนในยามเวลากลางคืน ที่เริ่มต้นด้วยเวลา 6 โมงเย็น คือ 18.00 น. เป็นต้นยาม จนถึง 19.30 น. จาก 19.30 น. จนถึง 21.00 น. เป็นยามที่ 2 จาก 21.00 น. จนถึง 22.30 น. เป็นยามที่ 3 จาก 22.30 น จนถึง 24.00 น. เป็นยามที่ 4 จาก 24.00 น. จนถึง 1.30 น. เป็นยามที่ 5 จาก 1.30 น. จนถึง 3.00 น. เป็นยามที่ 6 จาก 3.00 น. จนถึง 4.30 น. เป็นยามที่ 7 จาก 4.30 น. จนถึง 6.00 น. (ย่ำรุ่ง) เป็นยามที่ 8
แต่การนับยามในเวลากลางคืนนั้น ท่านกำหนดเช่นเดียวกับยามกลางวัน แต่ชื่อวัน เรียกต่างไปอีก โดยจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างนี้
 

เพจ Jiraporn Tongkampra

เพจ Jiraporn Tongkampra
แบ่งปันสื่อ ไอเดียสอนลูก ใบงาน ไฟล์แบบฝึกหัด เพื่อการเรียนรู้ของลูกน้อย ของเล่นเสริมพัฒนาการ

บ้านนารายณ์ซับสกรีน

บ้านนารายณ์ซับสกรีน
รับออกแบบยันต์ต่างๆ ปั้มลงผ้ายันต์และเสื้อยันต์ รวมทั้งเสื้อใส่เล่น ในราคาถูก

ช่องยูทูปครูน้อย

ช่องยูทูปครูน้อย
ติดตามคลิบวีดีโอที่แบ่งปันวิทยาทานและธรรมทานได้อีกช่องทาง